ทุนใหญ่เร่งยึดขุมทรัพย์เมืองท่องเที่ยว ปูพรมภูเก็ต เทียบชั้นดูไบ – ไมอามี่
ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ ค้าปลีก เชนโรงแรมดังสัญชาติไทย-ต่างประเทศ ระดมทุนสะพัดกว่าแสนล้านเร่งยึดหัวหาดขุมทรัพย์เมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยว ภูเก็ต-พัทยา ‘แบรนเด็ด เรสซิเดนส์’ แห่ปูพรมหนุนไข่มุกแห่งอันดามันผงาดอสังหาฯ เพื่อการพักผ่อนใหญ่สุดในโลก เทียบชั้น ‘ดูไบ-ไมอามี่’
ถนนทุกสาย ธุรกิจทุกแขนง ต่างมุ่งหน้าปักหลักเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ทั้ง “ภูเก็ต” และ “พัทยา” ด้วยศักยภาพของอำนาจซื้อจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกแห่มาเยือนอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” ขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่เคยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 4.7 แสนล้านบาท เมื่อปี 2562 ก่อนโควิดระบาด ฐานนักท่องเที่ยวรวม 14 ล้านคน การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภูเก็ต ปี 2566 โกยรายได้ท่องเที่ยว 388,017 ล้านบาท นักท่องเที่ยวรวม 11,300,498 คน
ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วโลกทำให้ “ภูเก็ต” ฉายแสงโดดเด่นยิ่งขึ้นจากชื่อเสียงเกาะสวรรค์แห่งอันดามันที่ทั่วโลกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีและต้องการเดินทางมาเยือนเพื่อพักผ่อน และอยู่อาศัย ก่อเกิดดีมานด์ทุกมิติ รวมทั้ง “บ้านหลังที่สอง” ของบรรดาเศรษฐีชาวไทยและชาวต่างชาติ
ขณะที่รัฐบาลมีแผนพัฒนาศักยภาพภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งชายฝั่งทะเลอันดามันทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมขนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง ในฐานะเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ประตูสำคัญของภาคใต้ตอนล่าง เป็นปัจจัยบวกดึงดูดการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ เชนโรงแรม ยักษ์ค้าปลีก ฯลฯ เจาะอำนาจซื้อในเกาะภูเก็ตที่เติบโตอย่างร้อนแรง
โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์หลั่งไหลไปยังภูเก็ต พัทยา และหัวหิน กว่า 56,000 ล้านบาท โดยเปิดตัวโครงการที่พักอาศัย บ้านและคอนโดมิเนียม ในภูเก็ตสูงกว่าตลาดหลักอย่างกรุงเทพฯ ในรอบ 15 ปีทีเดียว จากสำรวจของ “คอลลิเออร์ส” พบว่าภูเก็ต มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 3,300 ยูนิต พัทยา 4,600 ยูนิต ขณะที่ กรุงเทพฯ เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่เพียง 2,300 ยูนิต
:: ‘โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้’ สถานะล่าสุดของอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวไทย ::
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ฉายภาพรวมสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวว่า ขณะนี้มีสถานะเป็น “โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้” มีความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องด้วยเสถียรภาพของค่าเงินบาทเทียบประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เมียนมา กัมพูชา ลาว การมีระบบสาธารณสุขที่ดี มีความพร้อมของโรงพยาบาลเอกชน รวมทั้งระบบการศึกษา มีโรงเรียนนานาชาติจำนวนมาก ประกอบกับความเป็นมิตรของคนไทย เป็นพื้นที่ที่ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคนี้
ดังนั้นภาครัฐควรให้ความสำคัญในการดึงภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพื่อให้เกิดการจ้างแรงงานในประเทศกว่าล้านอัตรา และใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่า 90% เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโต 2.9 เท่า คิดเป็นสัดส่วน 8-12% ของจีดีพี
:: แห่ชิงดีมานด์นักท่องเที่ยวฟื้น ::
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา โครงการเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตและพัทยาโดยรวมสูงกว่ากรุงเทพฯ ทั้งจำนวนยูนิตขายและมูลค่า เพราะหลายโครงการปิดการขายได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว
ไตรมาส 1/2567 ภูเก็ตมีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ 12 โครงการ จำนวน 3,338 หน่วย มูลค่า 25,000 ล้านบาท มาจากดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯ ร่วมกับดีเวลลอปเปอร์ในพื้นที่ อาทิ แสนสิริ, แอสเซทไวส์, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ฮาบิแทท กรุ๊ป และ ซีจี แคปปิตอล
ผู้พัฒนาโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา มูลค่า 5,000 ล้านบาท
“หากเทียบปีก่อน จะมีคอนโดมิเนียมเปิดขายเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 ยูนิต จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นบวกกับการลงทุนภาครัฐและเอกชน เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 2567 จะมีโครงการใหม่กว่า 8,500 ยูนิต”
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมีกว่า 87 โครงการ 25,591 ยูนิต ขายแล้ว 16,905 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 66% รอการขาย 8,686 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 33.9%
ทั้งนี้ ตลาดคอนโดมิเนียมและวิลล่าในภูเก็ตจะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่องในปี 2567 ไตรมาสแรก มีคอนโดมิเนียมและวิลล่าใหม่ 3,500 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าลงทุน 34,559 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ส่วนใหญ่เน้นการขายแบบการรันตีค่าเช่า เริ่มตั้งแต่ 5% ใน 3 ปี หรือ 7% ใน 3 ปี แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ทุกโครงการมียอดขายของต่างชาติ 49% ค่อนข้างเต็มทุกโครงการ แต่หากมีลูกค้าชาวต่างชาติสนใจเพิ่มเติมก็จะขายแบบเช่าระยะยาวแบบ 30+30+ 30 ปี เพื่อเปิดโอกาสการขายที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่กำลังซื้อหลักของตลาดภูเก็ต
:: อสังหาฯ พัทยาฟื้นรับท่องเที่ยว ::
สำหรับอสังหาริมทรัพย์ พัทยา ไตรมาสแรก คอนโดมิเนียมเริ่มฟื้นตัว เปิดขายใหม่ 3 โครงการ 4,493 ยูนิต มูลค่า 16,000 ล้านบาท หากนับตั้งแต่ครึ่งแรกปี 2554 จนถึงไตรมาส 1/2567 พบคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยา 112,671 ยูนิต อยู่ในทำเลจอมเทียน 44,692 ยูนิต คิดเป็น 39.66% เขาพระตำหนัก 21,214 ยูนิต คิดเป็น 18.82% และใจกลางเมืองพัทยา 21,077 ยูนิต คิดเป็น 18.70%
“คาดว่า 3 ไตรมาสที่เหลือ จะมีคอนโดมิเนียมใหม่เข้าสู่ตลาดอีกกว่า 3,000 ยูนิต ส่งผลให้โครงการเปิดขายใหม่ปี 2567 อาจสูงกว่า 7,000 ยูนิต ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา”
ด้านนายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ มุ่งขยายตลาดไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ มากขึ้น เพื่อเจาะดีมานด์ต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดภูเก็ต หลังจากเข้าบุกเบิกมากว่า 10 ปี ขยายตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง
:: ‘ภูเก็ต’ แชมป์ ‘แบรนเด็ด เรสซิเดนส์’ ใหญ่สุดในโลก ::
รายงานของซีไนน์ โฮเทลเวิร์กส์ (C9 Hotelworks) กลุ่มที่ปรึกษาโรงแรมชั้นนำ ระบุว่า การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและศักยภาพของภูเก็ต ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการแบรนเด็ด เรสซิเดนส์ (Branded Residences) ระดับหรูมากมาย มีนักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาจับจอง จนทำให้ภูเก็ตกลายเป็นตลาดแบรนเด็ด เรสซิเดนส์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมูลค่ารวมทะลุ 80,000 ล้านบาท (ราว 2,300 ล้านดอลลาร์) ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง
ปัจจุบันโครงการแบรนเด็ด เรสซิเดนส์ ในภูเก็ตมีทั้งหมด 26 โครงการ สะสม 4,258 ยูนิต เป็น 17 โครงการพร้อมขาย 3,283 ยูนิต ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนามี 9 โครงการ 975 ยูนิต จะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2571
หาดลายันถือเป็นโลเกชันดาวรุ่งที่มีจำนวนยูนิตของแบรนเด็ด เรสซิเดนส์ มากเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 1,322 ยูนิต คิดเป็นส่วนแบ่ง 31% รองลงมาคือ หาดกมลา 651 ยูนิต คิดเป็น 15% และหาดบางเทา 605 ยูนิต คิดเป็น 14%
:: ผู้ซื้อเชื่อมั่นแบรนด์ดังจาก ‘เชนโรงแรมโลก’ ::
นายบิลล์ บาร์เน็ตต์ กรรมการผู้บริหาร ซีไนน์ โฮเทลเวิร์กส์ กล่าวว่า หลังผ่านพ้นยุคโควิด-19 ได้เห็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยจำนวนมากกลับมาลงทุนในภูเก็ตอีกครั้ง จากการฟื้นตัวของตลาดรีสอร์ตและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก รวมทั้งความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการย้ายมาพำนักบนเกาะภูเก็ต หรือเชื่อมั่นว่าการลงทุนในอสังหาฯแบรนด์ดังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย
แบรนด์ดังล่าสุด เช่น เดอะ สแตนดาร์ด (The Standard) ในพื้นที่หาดบางเทา และการเปิดตัว การ์เดนส์ ออฟ เอเดน (Gardens of Eden) บนพื้นที่ติดทะเลกว่า 73 ไร่ โครงการอสังหาฯสีเขียวที่ได้รับทุนจากดูไบ
หลังจากธนาคารไทยชะลอการปล่อยสินเชื่อในช่วงวิกฤติโควิด-19 ก็ได้กลับมาปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการโรงแรมใหม่ (Greenfield Projects) อีกครั้ง สาเหตุหลักมาจากตลาดอสังหาฯภูเก็ตมีการซื้อขายอย่างคึกคักและราคาค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น นักพัฒนาอสังหาฯจึงหันมาผสมผสานธุรกิจโรงแรมและอสังหาฯ โดยหวังว่าการใช้แบรนด์ดังจะช่วยเพิ่มมูลค่าการขายได้
สำหรับโครงการแบรนเด็ด เรสซิเดนส์ของกลุ่มโรงแรม พบว่า วินแดม (Wyndham) มีจำนวนยูนิตสูงสุดในตลาดกว่า 1,978 ยูนิต จาก 7 โครงการ สัดส่วน 46% ตามมาด้วย เบสต์ เวสเทิร์น, ว่านต่า (Wanda), แอคคอร์, บันยันกรุ๊ป, เดอะ สแตนดาร์ด, ยู (YOO), เรดิสัน, มีเลีย และไมเนอร์
“ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการโรงแรม คือราคาที่ดินทั่วเกาะที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้นักพัฒนาฯ ต้องปรับกลยุทธ์ หันมาผสมผสานธุรกิจโรงแรมเข้ากับอสังหาฯ เพื่อเพิ่มมูลค่าการขาย เช่น การนำแบรนด์โรงแรมชื่อดังมาบริหารควบคู่กับการขายที่พักสำหรับอยู่อาศัย”
:: ซัพพลายรีสอร์ตในภูเก็ตเทียบชั้น ‘ดูไบ-ไมอามี่’ ::
อีกปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความต้องการอสังหาฯในภูเก็ตหลังโควิด-19 คือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานทั่วโลก เมื่อเทรนด์การย้ายถิ่นฐานทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์ทางการเมือง ประกอบกับแนวโน้มวิถีการทำงานแบบทำที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) และสังคมผู้สูงอายุที่เกษียณอายุเร็วขึ้นหรือเลือกใช้ชีวิตในสถานที่พักผ่อนยิ่งส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในภูเก็ตเพิ่มสูงขึ้น
ประกอบกับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลไทย เช่น การยกเว้นวีซ่า โปรแกรมวีซ่าระยะยาวและโปรแกรมไทยแลนด์ อีลิท (Thailand Elite) ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ภูเก็ตกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้มองหาที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมีจำนวนโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมี 13 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“การเปลี่ยนแปลงของภูเก็ตไม่ได้เกิดจากตัวเกาะเอง แต่เป็นผลกระทบจากความผันผวนของสถานการณ์โลก ประกอบกับความดึงดูดใจที่เพิ่มขึ้นของภูเก็ตในฐานะชุมชนนานาชาติ ความนิยมในโครงการที่พักแบรนด์สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ซื้ออย่างชัดเจน ในอนาคตนอกจากจะมีแบรนด์โรงแรมเพิ่มมากขึ้น ยังจะมีแบรนด์นอกเหนือวงการโรงแรมเข้ามาผสมผสานด้วยเช่น แบรนด์แฟชั่น แบรนด์รถยนต์ และแบรนด์ร้านอาหารต่างๆ ด้วยปริมาณโครงการที่พักแบรนด์ระดับรีสอร์ตที่พุ่งสูง ภูเก็ตกลายเป็นตลาดระดับพันล้านดอลลาร์เทียบเคียงกับเมืองท่องเที่ยวระดับแนวหน้าอย่างไมอามี่และดูไบ” นายบิลล์กล่าว
:: ‘ออนิกซ์’ ลุยโรงแรม-แบรนเด็ด เรสซิเดนส์ ภูเก็ต ::
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ภูเก็ตถือเป็นเดสติเนชันร้อนแรง ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการลงทุนของออนิกซ์กรุ๊ปใน 3-5 ปีข้างหน้า จะเข้าไปพัฒนาโรงแรมที่พักในภูเก็ตให้ได้ 4-5 แห่ง ครอบคลุมทุกแบรนด์ของออนิกซ์ ได้แก่ อมารี (Amari) โอโซ่ (OZO) ชามา (Shama) และโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ (Oriental Residence) ที่มีแผนจะพัฒนาเป็นแบรนเด็ด เรสซิเดนส์
อีกแบรนด์คือ อีคิว (EQ) เป็นแบรนด์รีสอร์ตระดับลักชัวรีจากมาเลเซีย ออนิกซ์กรุ๊ปจะร่วมทุนกับทุนมาเลเซียที่ต้องการเข้ามาขยายพอร์ตโฟลิโอในไทย และเลือกภูเก็ตเป็นจุดหมายแรก โลเกชันตั้งอยู่ที่หาดกะตะ จะพัฒนาห้องพัก 150 ห้อง ส่วนใหญ่เป็นพูลวิลล่า คาดใช้เงินลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการลงทุนฝั่งละ 50% หากอนาคตได้ที่ดินเพิ่ม จะพัฒนาเป็นแบรนเด็ด เรสซิเดนส์ เช่นกัน
:: AWC ลงทุน 8 โรงแรมหลากคอนเซ็ปต์ในพัทยา ::
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า บริษัทกำลังพัฒนาโรงแรมกว่า 8 แห่งในพัทยา โดย 5 แห่งในโครงการมิกซ์ยูส อควอทีค (Aquatique) ใจกลางเมืองพัทยา มูลค่าลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท มุ่งโปรโมตการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬาทางน้ำ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์-รีเทลขนาดใหญ่ เฉพาะตัวอาคารหลักที่เพิ่งปรับแบบเป็นตึกเดียว น่าจะมีความสูงกว่า 60 ชั้น ล่าสุดได้ปรับคอนเซ็ปต์เพิ่มเติม ทำสระว่ายน้ำแบบ Longest Infinity-Edge Pool เพื่อเพิ่มความว้าวให้เป็นแลนด์มาร์กระดับไอคอนิก คาดเปิดในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทยอยเปิด 5 เฟสด้วยกัน
โดยโรงแรม 5 แห่งในโครงการอควอทีค ที่บริษัทเซ็นสัญญาว่าจ้างเชนโรงแรมระดับโลกมาบริหาร ประกอบด้วย กลุ่มแมริออท อินเตอร์เนชันแนล พัฒนาโรงแรมพัทยา แมริออท มาร์คีส์, โรงแรมอควอทีค พัทยา ออโตกราฟ คอลเลกชัน และยังมีการเซ็นโรงแรม เจดับบลิว แมริออท ไว้ด้วย โดยกำลังดูว่าอาจรีแบรนด์เป็นแบรนด์ระดับท็อปเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรีกว่านี้ นอกจากนี้ยังมีโรงแรมคิมป์ตัน พัทยา แบรนด์ดังจากกลุ่มไอเอชจี กำหนดเปิดในปี 2571 และล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญากับกลุ่มมีเลีย หนึ่งในเชนโรงแรมใหญ่ที่สุดจากยุโรป เพื่อพัฒนาโรงแรมมีเลีย พัทยา ซิตี้ ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมระดับแฟลกชิปและเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ขนาด 234 ห้องพัก มีกำหนดเปิด ธ.ค. 2567
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีโรงแรมอีก 3 แห่งในโซนพัทยา ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โครงการอควอทีค ได้แก่ โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา แอท จอมเทียน บีช มีกำหนดเปิดในปี 2567 รวมถึงโครงการในอนาคตอย่างโรงแรม บันยันทรี พัทยา บนที่ดิน 150 ไร่ ตรงข้ามสวนนงนุช และอีกแห่งคือโรงแรม พาราดิซุส จอมเทียน ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับเชนโรงแรม มีเลีย เมื่อเดือน เม.ย. โดยจะเป็นโรงแรมหรูครบวงจรแบบเหมาจ่าย (All-inclusive) แห่งแรกในพัทยา จะให้บริการห้องพักทั้งหมด 698 ห้อง มีกําหนดเปิดให้บริการในปี 2571
:: กลุ่ม LHMH เปิดธีมโฮเทลไซส์ใหญ่อีก 2 แห่งใหม่ ::
ก่อนหน้านี้ นางสุวรรณา พุทธประสาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) ในเครือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม LHMH เดินหน้าขยายการลงทุนโรงแรมขนาดใหญ่ในพัทยาอย่างต่อเนื่อง เตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งใหม่ ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 9,000 ล้านบาท
ได้แก่ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สาขาที่ 3 ในพัทยา ขนาดห้องพัก 494 ห้อง ใช้เงินลงทุน 4,400 ล้านบาท พัฒนาบนที่ดิน 22 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 110,000 ตารางเมตร (อยู่ข้างๆ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา หรือ สาขาที่ 2) จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 2 ปี 2567 วางกำหนดเปิดในปี 2570 ซึ่งจะเป็นธีมโฮเทล (Themed Hotel) อีกหนึ่งแห่งของแบรนด์ใน Tier Limited Collection ในธีมล่าสุดที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัย ให้ความรู้สึกตื่นเต้น
และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สาขาที่ 4 ขนาดห้องพักราว 400-500 ห้อง ใช้เงินลงทุน 4,000-5,000 ล้านบาท จะพัฒนาเป็นธีมโฮเทลเช่นกัน ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงแรม 3 แห่งแรกและศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ตรงโซนพัทยาเหนือ
หลังจากกลุ่ม LHMH เปิดให้บริการโรงแรมในพัทยาแล้ว 2 แห่ง คือ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา (สาขาที่ 1) ขนาด 396 ห้องพัก และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา (สาขาที่ 2) ขนาดห้องพัก 490 ห้อง ซึ่งเปิดเมื่อไตรมาส 3 ปี 2565 ใช้เงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ถือเป็นธีมโฮเทลแห่งที่ 2 ในพัทยา ลูกค้าเรียกติดปากว่าโรงแรมอวกาศ บนที่ดิน 13 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 80,000 ตารางเมตร มีไฮไลต์สวนน้ำให้บริการ พบว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้างอัตราการเข้าพักเฉลี่ยกว่า 90% ภายในเวลาอันรวดเร็ว
ทั้งนี้เมื่อรวมโรงแรมฯ ทั้ง 4 แห่งดังกล่าวในพัทยา จะคิดเป็นจำนวนห้องพักรวมกว่า 1,800 ห้อง
:: ศูนย์กลางชอปปิงชายทะเลระดับโลก ::
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยและผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ กล่าวว่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลภูเก็ต เป็นศูนย์รวมลักซูรีแบรนด์แห่งแรกและแห่งเดียว โดยรวม 14 แบรนด์หรูระดับโลก ได้แก่ BALENCIAGA, BOTTEGA VENETA, BURBERRY, CHRISTIAN LOUBOUTIN, DIOR, GUCCI, HERMÈS, LOUIS VUITTON, OMEGA, PMT THE HOUR GLASS, SAINT LAURENT, VERSACE, ZEGNA อีกทั้งมีแบรนด์หรูที่จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ เช่น PRADA และแบรนด์ต่างๆ อีกจำนวนหลากหลาย
“การเข้ามาเปิดสาขาของแบรนห์หรู เพื่อร่วมสร้างประสบการณ์ชอปปิงระดับเวิลด์คลาสให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก ย้ำภาพศูนย์การค้าเมืองชายทะเลระดับโลก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้