“มาลี กรุ๊ป” จัดทัพธุรกิจ ปรับโครงสร้างภายใต้ One Malee

รวมองค์กรเป็นหนึ่งทั้งการเงิน โรงงาน โอเปอเรชั่น แบ่งปันองค์ความรู้ วางรากฐานสู่การเป็นเบอร์ 1 น้ำผลไม้ในไทย และก้าวสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลก 

ที่สำคัญมองโอกาสเร่งเครื่องกำไรเติบโต หลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงเกิดโรคโควิด-19 ระบาด “ตลาดน้ำผลไม้” ต้องเผชิญภาวะ “ติดลบ” เนื่องจากผู้บริโภคตระหนักเรื่อง “ความหวาน” อีกมิติคือ นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนไทย 35 ล้านคน หายวับไปกับตาเพราะไวรัสร้าย
ทว่า พลันเหตุการณ์ปกติ น้ำผลไม้กลับมาเติบโตทั้งเชิงปริมาณการบริโภค รวมถึงเชิงมูลค่า และไตรมาส 1 ปี 2567 (ณ เดือนมีนาคม 2567)ตลาดน้ำผักและผลไม้มีมูลค่า 10,755 ล้านบาท เติบโต 11% แบ่งเป็นดังนี้

-เซ็กเมนต์เครื่องดื่มสมุนไพรและแคนนาบิส 2,106 ล้านบาท หรือสัดส่วน 20% อัตราการเติบโต 2%

-เซ็กเมนต์พรีเมี่ยม(น้ำผลไม้ 90-100%) 3,384 ล้านบาท สัดส่วน 31% อัตราการเติบโต 10%

-เซ็กเมนต์กลาง(น้ำผลไม้ 26-89%) 1,159 ล้านบาท สัดส่วน 11% เผชิญการหดตัว 11%

-เซ็กเมนต์แมส(น้ำผลไม้ 20-25%) 3,604 ล้านบาท สัดส่วน 34% อัตราการเติบโต 18%

-เซ็กเมนต์ล่างหรือ Super Economy(น้ำผลไม้ 0-19%) มูลค่า 500 ล้านบาท สัดส่วน 5% อัตราการเติบโตพุ่ง 203%

:: กลยุทธ์ดันแบรนด์ผงาดเบอร์ 1 ::
นอกจากตลาดแต่ละเซ็กเมนต์เติบโต-หดตัวอย่างน่าสนใจ การแข่งขันก็เดือด! และเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อแบรนด์ใหญ่อย่าง “มาลี” สามารถก้าวเป็นเบอร์ 1 ของตลาดน้ำผลไม้เซ็กเมนต์พรีเมียมในรอบหลายปี ถือเป็นการโค่นแชมป์เก่าได้สำเร็จ ซึ่งหากสำรวจตลาดจะเห็นบิ๊กแบรนด์อีกไม่กี่ราย

นายราชเทพ นฤหล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มาลีสามารถก้าวเป็น “ผู้นำ” ตลาดน้ำผลไม้เซ็กเมนต์พรีเมียมได้ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 21% กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จคือการโฟกัสความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคหรือ Insight ที่เข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น เช่น เทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการรับรู้เหมือนกัน แต่ “พฤติกรรม” ของแต่ละคนแตกต่างกัน แบรนด์จึงต้องเรียนรู้ทั้งวิธีการ แนวทางการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ต้องการทำให้สุขภาพตนเองดีขึ้น เพื่อมอบสิ่งดีๆให้ตรงความต้องการ

นอกจากนี้ การเพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว ยังเป็นพลังสำคัญเช่นกัน จะเห็นว่า น้ำผลไม้มาลี มีการชูคุณประโยชน์มากขึ้น เช่น น้ำส้มที่มีเฮสเพอริดิน (Hesperidin) การโฆษณาทางวิทยุ บอกเล่าเพียงเท่านี้ให้ผู้บริโภครับรู้ หรือสินค้าใหม่น้ำมะพร้าวมาลีโคโค “LIPOSOS” ที่ตอกย้ำฟังก์ชันของโปรดักท์นอกเหนือจากความสดชื่น เป็นต้น
“ปี 2566 ผลประกอบการมาลี กรุ๊ป เติบโต 20% และกำไรโต 138% เพราะแบรนด์เราเข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคดีขึ้น ทำให้รู้ว่าโอกาสตลาดอยู่ตรงไหน เราไขความลับธรรมชาติ นำประโยชน์มาสร้างความเข้าใจให้ผู้บริโภคทั้งน้ำส้มมีเฮสเพอริดิน น้ำมะพร้าวมี LIPOSOS แทนที่คนจะดื่มเพื่อความชื่น มาเป็นการดื่มเพื่อทรีทสุขภาพ”

:: ต่อยอดงานวิจัย ป้อนลูกค้านอกเครือ ::
เป็นบริษัทวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ดำเนินการภายใต้ Malee Applied Sciences (MAS) ซึ่งบริษัทจะคิดค้นและเพิ่มมูลค่าของผลผลิตด้านการเกษตรและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าสำหรับผู้ผลิตและผู้บริโภค

การนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มาวิจัยสารอาหารต่างๆในพืชผักผลไม้ของ MAS ในอนาคต จะไม่จำกัดแค่ของกิน แต่จะต่อยอดสู่กลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ รวมถึงความงามด้วย เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ(สกินแคร์) ฯ เบื้องต้นไม่ใช่สินค้าของบริษัท แต่มองโอกาสป้อนให้กับ “ลูกค้าภายนอกมาลี กรุ๊ป” ซึ่งจะเป็นอีกจิ๊กซอว์สร้างการเติบโตให้บริษัทนั่นเอง
:: สูตร “One Malee” รวมกันแกร่ง ::
การเป็นเบอร์ 1 ของมาลี เป็นหนึ่งก้าวความสำเร็จ แต่โจทย์สำคัญของบริษัท ไม่ใช่แค่การเติบโตยอดขาย ส่วนแบ่งตลาด แต่ความสามารถในการ “ทำกำไร” คือหัวใจ

จากนี้ไปกลยุทธ์ One Malee จะถูกนำมาขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งบริษัทจะทำหลายส่วนเพื่อให้ “มาลี เป็นหนึ่ง” ได้แก่ การรวมส่วนวิจัยและพัฒนาสินค้าหรือ R&D กับ MAS มารวมกันจากเดิมแยกกัน การปรับโครงสร้างการทำงาน เดิมมาลีมี 3 โรงงาน ที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดนครราชสีมา และเวียดนาม มุ่งเชื่อมประโยชน์ แบ่งปันองค์ความรู้กันมากขึ้น การจัดซื้อร่วมกัน เพื่อวางรากฐานให้แกร่งในปี 2568 ซึ่งเดิมการจัดซื้อ รับจ้างผลิต(โออีเอ็ม)ให้ลูกค้าภายนอกล้วนทำแยกกัน

สิ่งที่จะทำต่อไป คือด้านการเงิน การโอเปอเรชั่น การ Cross Selling ฯ ที่จะทำภายใต้ One Malee
และ One Malee ยังเป็นวิชั่น เป็น Purepose เปรียบเสมือนเข็มทิศให้พนักงานในการทำงาน ช่วยให้การตัดสินใจดีขึ้น เพราะแบรนด์มาลี มีความแข็งแกร่ง มี Herritage การวิจัยและพัฒนาที่ดึงพลังพืช ผักผลไม้ นม จะสานภารกิจส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดีได้

“การรวมการทำงานของโรงงาน ทำให้สเกลการต่อรองครั้งเดียว สร้างซีนเนอร์ยีให้ดีขึ้น โออีเอ็ม พอทีมทำงานร่วมกัน ทรานส์ฟอร์มองค์ความรู้ต่างๆ การคุยกัน 3 โรงงานทำให้เราขยับเร็วขึ้น ที่สำคัญ การโฟกัส One Malee ทำให้พนักงานรู้สึกถึงการเป็นหนึ่ง มีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่เป้าหลากหลาย การรวมกันทำให้มีศักยภาพ ฟันฝ่า และเดลิเวอร์ผลประกอบการให้เติบโต”
:: โฟกัสเร่งเครื่องทำกำไร! ::
โครงสร้างธุรกิจของ “มาลี กรุ๊ป” มี 4 เสาหลัก ประกอบด้วย 1.ตราสินค้า หรือแบรนด์สินค้าตนเอง เช่น น้ำผลไม้ มาลี, มาลี ทรอปิคอล, เฟิร์สช้อยส์, ชาวสวน, ฟาร์มโชคชัย 2.ธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต(CMG) 3.ธุรกิจฟาร์มโคนม และ 4.ธุรกิจ Malee Applied Science หรือ MAS

ไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมียอดขายรวม 2,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และ “กำไรสุทธิ” 122 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 261% โดยยอดขายนั้นมาจากแบรนด์ 36% และ CMG 64%

อย่างไรก็ตาม การปรับกระบวนท่าต่างๆสู่ One Malee เป้าหมายทางการเงินด้าน “ยอดขาย” บริษัทต้องการเติบโตใกล้เคียงปี 2566 แต่กำไรต้องโตเร็วกว่า

“วิชั่นระยะยาว มาลีเราอยากเป็น Top Beverage Brand of Choice ในประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก ตอนนี้เรากำลังปรับฐานทัพ จัดโครงสร้างภายใน เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว ด้านการเติบโตเราโฟกัสยอดขายโตอัตรา 2 หลัก แต่กำไรต้องโตเร็วกว่า”

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นิรมน คนหน้าเย็น โฆษณาใหม่จาก แอร์ เอเชีย ใช้แอร์โฮสเตสจริง มาร้องเพลงโฆษณา

คะแนน ฟีฟ่า แร้งกิ้ง ของ ทีมชาติไทย จะอยู่ที่อันดับ 99 ของโลก

‘ปัญญ์ปุริ’ สานเป้าหมายแบรนด์โลก ลุยต่างประเทศ ทุ่ม 500 ล้าน เปิด 50 สาขา

‘ลุฟท์ฮันซ่า’ นำเครื่องบินใหญ่สุดของโลก แอร์บัส A380 คัมแบ็กให้บริการในไทย

“ศุภาลัย”ชูมิกซ์โปรดักส์ชิงดีมานด์แนวราบปักหมุดใจกลางเมืองภูเก็ต