KFC เผยเบื้องหลังแคมเปญ ‘ผู้พัน x น้องเนย’ ชี้กลยุทธ์ Local Collaboration พลิกโฉมแบรนด์ สู่การเติบโตกระโดดรอบหลายปี
KFC (ประเทศไทย) ยืนยันความสำเร็จในตลาดไก่ทอด ประกาศผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเปิดเผยเบื้องหลังกลยุทธ์ที่สร้างปรากฏการณ์และฮีลใจผู้บริโภคผ่านแคมเปญการตลาดที่ชาญฉลาด โดยเฉพาะการร่วมมือกับ ‘น้องเนย’ คาแรกเตอร์ยอดนิยม ที่ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่และดันยอดขายชุดสินค้าเดิมพุ่งสูงถึง 49% สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้าง ‘คุณค่า’ และ ‘ประสบการณ์’ เหนือกว่าสงครามราคา
:: เผยความสำเร็จ Brand Collaboration จาก Local สู่ Global ::
“การร่วมมือกันในแคมเปญ KFC I Butterbear เกิดจากที่เราเห็นเทรนด์มาพักใหญ่แล้วว่าผู้บริโภคในโซเชียลมีเดียมักพูดถึง ‘น้องเนย’ และเรามองว่าคาแรคเตอร์ของน้องมีความคล้ายคลึงกับไก่ทอด ซึ่ง KFC ได้จับ Social Sentiment นี้มาพักใหญ่แล้ว จึงมองเป็นโอกาสในการร่วมงาน เพราะฐานลูกค้าของน้องเนย โดยเฉพาะกลุ่ม ‘มัมหมี’ ก็เป็นกลุ่มเดียวกับผู้บริโภค KFC” ภัทรา ภัทรสุวรรณ Associate Marketing Director KFC ประเทศไทย เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นของการทำแคมเปญร่วมกันกับน้องเนย Butterbear
.
ภัทรา กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ KFC ในช่วงที่ผ่านมา คือการพลิกโฉมการทำตลาดด้วย Local Collaboration โดยมุ่งเน้นการค้นหาพันธมิตรที่มีคาแรคเตอร์และคุณค่าที่สอดคล้องกัน เพื่อสร้างเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับแบรนด์อย่างเป็นธรรมชาติ
.
แคมเปญการตลาดที่เป็นไฮไลต์ คือการร่วมมือกับ ‘น้องเนย’ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ KFC จับมือกับคาแรคเตอร์ที่ไม่ใช่บุคคลเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด และช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่หลากหลาย ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน และกลุ่ม ‘มัมหมี’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เคยเป็นลูกค้าหลักมาก่อน อีกทั้งยังกระตุ้นให้ ‘Lapsed User’ หรือลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ
.
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือ ยอดขายของชุดสินค้าเดิม (ชุดอิ่มคุ้ม) ที่ร่วมแคมเปญ เติบโตขึ้นกว่า 49% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงกลางปีที่ตลาดค่อนข้างเงียบเหงา โดยภัทราระบุว่า ความสำเร็จนี้มาจากการเพิ่มการเข้าถึง (Penetration) ลูกค้าใหม่ ไม่ใช่แค่การเพิ่มความถี่ในการซื้อของลูกค้าเดิมเท่านั้น
.
นอกจากนี้ ภัทรา ยังเผยว่า KFC Global ให้ความสนใจในความสำเร็จของแคมเปญนี้ และมองว่าประเทศไทยคือ ‘โมเดลที่ดีและเป็นจุดเริ่มต้น’ ที่สามารถต่อยอดสู่ระดับนานาชาติในอนาคต
:: กลยุทธ์ราคาที่ไม่ ‘ร่วมสงคราม’ แต่ ‘สร้างคุณค่า’ ::
ภัทรา กล่าววว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความท้าทาย KFC ยังคงยืนหยัดในกลยุทธ์ที่มุ่งเน้น ความคุ้มค่า และ ราคาที่เข้าถึงได้ โดยยืนยันว่าบริษัทไม่ได้เข้าร่วม ‘สงครามราคา’ เพียงอย่างเดียว แต่เลือกที่จะสร้างสีสัน และเพิ่มคุณค่า รวมถึงประสบการณ์ให้กับลูกค้าผ่านแคมเปญต่างๆ โดยยังคงตรึงราคาเริ่มต้นของชุดอิ่มคุ้มไว้ที่ 199 บาท และชุดทานเดี่ยวที่ 69 บาท เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
.
พร้อมกันนี้ KFC ยังมองว่า พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเทรนด์การทานอาหารคนเดียวที่เพิ่มขึ้น เป็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในอนาคต
.
:: ครึ่งปีหลัง เดินหน้าตอกย้ำจุดแข็งด้วยราคาและ Innovation ::
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง KFC ยังคงยึดสูตรสำเร็จเดิม คือการนำเสนอราคาที่เข้าถึงได้ ควบคู่ไปกับความตื่นเต้นและความสนุกสนาน ผ่านแคมเปญพิเศษต่างๆ เช่น แคมเปญวันแม่ และการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่คาดว่าจะสามารถสร้างกระแสไวรัลได้อีกครั้ง
.
นอกจากนี้ ยังคงมุ่งเน้นสินค้าในกลุ่มของหวานที่เป็น Impulse Buy (ซื้อได้ทันที ไม่ต้องคิดมาก) ในราคาที่เข้าถึงง่าย พร้อมกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันที่มีอยู่ 1,156 สาขาทั่วประเทศ
.
“KFC ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจด้วยกลยุทธ์ที่ผสมผสานระหว่างการ คงคุณค่าของแบรนด์ และการ สร้างสรรค์นวัตกรรมการตลาด ผ่าน Collaboration Strategy ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มยอดขาย แต่ยังเป็นการสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภคได้อย่างลงตัว ทำให้ KFC ยังคงเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดไก่ทอดและเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาพรวมของระบบทั้งหมด” ภัทรา กล่าวสรุป
.
#chattalks #TheStandardWealth
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้