ช็อก! “พลอย” ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 2 ลามต่อมน้ำเหลือง เล่าปมทำร้ายตัวเองให้อีกคนเห็นใจ จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร ต้องเข้ารพ.จิตเวชรักษา
หัวใจแข็งแรง จนกล้าออกมาเล่าเรื่องอาการป่วยของตัวเอง สำหรับ “พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” ซึ่งเป็นการเปิดใจครั้งแรกในรายการ Sisterhood Podcast ทั้งตรวจเจอเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ลามไปต่อมน้ำเหลือง อยู่ในภาวะซึมเศร้าเพราะชีวิตเจอมรสุมซัดหลายเรื่อง ถึงขั้นน้ำหนักลด 13 กิโลใน 3 เดือน จำชื่อคนไม่ได้ ทำร้ายตัวเอง เพราะอยากให้อีกคนเห็นใจ นอนไม่ได้ ตาลอย ถึงขั้นไม่ไหวแล้ว ต้องเข้าไปรักษาที่รพ.จิตเวช!
.
“ตอนนั้นผอมมาก ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มรสุมชีวิต มีหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตพลอย ทั้งเรื่องงาน ปัญหาผู้จัดการ แถมเรื่องสุขภาพก็มาพร้อมกันในจังหวะเดียวกัน พายุซัดมาตู้ม ไม่ทันตั้งตัว ทุกอย่างเฟลไปหมด แล้วก็ตรวจมาเจอว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ตอนแรกช็อก ว่าใช่เหรอคะ เขาบอกว่าใช่ครับ ชิ้นเนื้อดูเป็นมะเร็งเลย เป็นมะเร็งเต้านม
.
อาจเป็นตัวเราผิดพลาดเอง เราตรวจเจอก้อนเนื้อ ชิ้นเนื้อก่อน แต่ตอนนั้นไม่ดูอันตราย แต่หมอบอกว่าต้องฟอลโลว์อัป เราไม่ไปตรวจสุขภาพปีครึ่งเพราะเป็นคนกลัวเข็ม เวลาเอาเข็มแทงเส้นเลือดจะกรีดร้อง ทุกรพ.รู้เลยถ้าพลอยมา พยาบาลต้องมากอด จับมือ กลัวเข็มแทงเส้นเลือดมาก ก็เลยไม่ไปรพ.มาปีครึ่ง พอตรวจอีกที ระหว่างนี้แหละมันโต
พลอยไปตรวจสุขภาพประจำปี เขาบอกว่าดูไม่น่าอันตราย ฟอลโลว์อัปไปเรื่อยๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ตามสเต็ปต้องไปทุกปี แต่ความกลัวเข็มแค่นี้เอง เราคิดว่าเราแข็งแรงดี ปกติดี ไม่น่าเป็นอะไร พอไปตรวจสุขภาพอีกครั้งก็เจอ แล้วช็อก เพื่อนแนะนำให้เปลี่ยนรพ. มีขั้นตอนการตรวจเยอะ
.
ตอนแรกมีสองข้าง ข้างนึงชัวร์แล้ว แต่อีกข้างดูเป็นหินปูน เขาก็เจาะ ให้เรานอนคว่ำ เข็มใหญ่มากแทงเข้าไป เป็นเครื่องสอดเข้าไปแล้วปั่นชิ้นเนื้อออกมา หมอบอกไม่เจ็บ แต่เจ็บมาก ร้องไห้ ยาชาไม่พอ ใจจะขาด แต่ตรวจแล้วไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีมะเร็ง แต่เป็นข้างซ้าย
.
เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ผ่าตัดเสร็จเขาเอาชิ้นเนื้อไปตรวจละเอียดว่าสายพันธุ์อะไรพบว่าเป็นมะเร็งสายพันธุ์ชนิดพิเศษ เป็นมะเร็งเต้านมลามไปต่อมน้ำเหลืองด้วยค่ะ เราก็เริ่มเครียดมากๆ หมอบอกว่าต้องไปลุ้นในห้องผ่าตัด หลังฉีดสีเข้าไปผ่าตัดแล้ว มันจะลามไปอวัยวะหรือเปล่า ต้องไปลุ้นตรงนั้น
.
สเต็ปแรกที่รู้ว่าเป็น ร้องไห้ คำว่ามะเร็งมันเป็นคำที่ทุกคนคงกลัว ไม่อยากมีประสบการณ์ ไม่ว่ามะเร็งอะไรก็แล้วแต่ ครั้งแรกกลัวมาก ร้องไห้ แต่หมอบอกว่าใจเย็นนะ ไม่เป็นไรนะ ถ้ารู้เร็วรักษาเร็ว เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมีเยอะแยะ เราคิดว่าเราดูแลตัวเองดีมาตลอด ไม่คิดว่าเราจะเป็น งงว่ามาได้ไง สืบมาแล้วคุณย่าฝั่งคุณพ่อเคยเป็น คิดว่าน่าจะเป็นพันธุกรรม
.
ครั้งแรกผ่าตัดหน้าอกเสร็จแล้ว พักฟื้นไม่ถึงเดือน ก็ผ่าอีก เราเลือกรักษาเต้านมเดิมอยู่ไม่ต้องตัด หลายคนตัดแล้วจบ แต่เราไม่ได้ เราอยากสวยอยู่ เขาเลยคว้านเนื้อออกไป ก็เจอว่าไม่จบตรงนี้นะ มันลามไปต่อมน้ำเหลือง มันมีหลายทางเลือก แต่ถามคุณหมอ ณ ตอนนั้นเขาบอกว่าของพลอยไม่ถึงขนาดต้องตัดทิ้ง โชคดีคว้านออกได้
.
หลังผ่าตัดเสร็จฉายแสง 25 ครั้ง หน้าอกไหม้ไปข้างนึง แสงเบิร์นมาก เจ็บมาก แต่ไม่เป็นไร ทำ 5 วันต่ออาทิตย์ 25 ครั้งเอาให้จบ หมอวินิจฉัยมาดีมากว่ากรณีของเราไม่จำเป็นต้องคีโม เพราะถ้าใช้คีโมรักษามันไม่ช่วยอะไร มันต้องฉายแสง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีกว่า
.
ฉายแสง กินยาลดฮอร์โมนเอสโตรเจน ฉีดด้วย มีผลกระทบกับเราเยอะ ฮอร์โมนเอสโตรเจนสำคัญสำหรับผู้หญิงมาก เรื่องความสวย ความสาว ความยืดหยุ่นของผิว ทุกอย่าง พลอยกินมาปีครึ่งแล้ว ก็มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายค่อนข้างเยอะ
.
ปีที่แล้วผอมมากๆ เป็นยาส่วนนึง อารมณ์เราสวิงแล้ว เพราะลดฮอร์โมนเอสโตรเจน พลอยตกอยู่ในสภาวะความเครียดหลายๆ อย่าง สามสิ่งที่รุมเข้ามา แล้วพลอยรับไม่ทัน พลอยตกอยู่ในภาวะความเครียด ความกังวล ตอนนั้นหนักจริงๆ ถึงขนาดร้องไห้กับตัวเอง จำไม่ได้ว่าฉันคือใคร เราจมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้า จมอยู่กับความเสียใจ ถูกกระทำจนเรารู้สึกว่าเราจำไม่ได้ เราสูญเสียความเป็นตัวเองไป
.
เอาตรงๆ ฉันจำไม่ได้ว่าฉันคือใคร ไม่มีความมั่นใจ เป๋มาก จนเดือนเม.ย.ก็เริ่มดีขึ้น ค่อยเป็นค่อยไป จริงๆ เราอยากหลุดพ้นจากความทุกข์ ความเศร้า ทุกครั้งก็ผ่านมาได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ยากสุดในชีวิต ยากมากที่จะหลุดพ้นออกมาได้ แต่ก็ให้เวลากับตัวเองวันต่อวัน ถ้าเราฝืนตัวเองว่าต้องทำให้ได้ จะยิ่งกดดันตัวเอง แต่พลอยให้เวลาตัวเอง ค่อยเป็นค่อยไปนะ ไม่จำเป็นต้องแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง ยอมรับในความอ่อนแอของตัวเองซะ บอกตัวเองว่าเดี๋ยวเราจะดีขึ้น รักตัวเองมากๆ
.
ก่อนหน้านั้นคิดอะไรเองไม่ได้เลย วนอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง พอ ณ วันนึงที่คิดได้แล้ว พลอย ทำไมเธอไม่ใจดีกับตัวเองเลย แคร์ตัวเองหน่อย ทำไมเธอไม่รักตัวเองเลย เมื่อก่อนคนพูดว่ารักตัวเอง เราฟังผ่านๆ หู แต่เราไม่เคยปฏิบัติกับตัวเองจริงๆ จังๆ จนเริ่มคิดได้ว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่ต้องกลับมารักตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลใจของตัวเอง ไม่มีใครทำให้เราดีขึ้นได้ นอกจากตัวเรา
.
ตอนแรกไม่ได้บอกใครเลย ไม่สบายช่วงนั้นเพื่อนสนิทยังไม่รู้ จะมีคนรู้บ้าง ครอบครัว แต่ไม่บอกเพื่อนเยอะ เพื่อนสนิทก็ไม่บอก จนเขาร้องไห้ มีกลุ่มเดียวที่บอก กลุ่มอื่นไม่บอกใครเลยทั้งสิ้น บอกตอนผ่าตัดเสร็จแล้ว เขาก็ร้องไห้ว่าทำไมไม่บอกว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ให้เราดูแล เราก็คิดว่าไม่อยากรบกวน เดี๋ยวเป็นห่วง ลึกๆ ต้องการนะ แต่ไม่กล้าขอ ไม่บอกใครเลย ไม่โพสต์อินสตาแกรมอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เรายังไม่พร้อมที่จะพูดถึง ไม่พร้อมที่จะบอกใคร
.
หลังๆ พลอยค่อนข้างเก็บกด มีอะไรไม่พูด ไม่บ่น จนวันนึงมันระเบิดจริงๆ อย่างที่ทุกคนเห็นกัน ดูเหมือนเราเป็นคนแรง มันเจออะไรมาเยอะไม่ไหวแล้ว เลยมีการระเบิดบ้าง เส้นทางที่เราเดินมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ สอนให้เรารู้ว่าไม่ว่าเจออะไรก็แล้วแต่ จะทำอะไรต้องคิดดีๆ เราโตแล้ว เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถึงเราเป็นผู้ใหญ่เราก็ทำผิดพลาดได้ เป็นมนุษย์คนนึงมีความรู้สึก
.
เราเก็บความทุกข์ ความเครียดไว้คนเดียวตลอด เพื่อนถามไถ่บ้างแต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ตอนนั้นทรมานมาก เกิดมาไม่เคยน้ำหนักลง 13 กิโล ภายในเวลา 3 เดือน แล้วก็ลงมาเรื่อยๆ เครียดทั้งตัวและหัวใจ ทั้งสมอง มันหนักสุดในชีวิตแล้ว แต่พอวันนึงที่คิดได้ อาจคิดช้านิดนึง คิดได้ที่จะลุกขึ้นมา ก็หันกลับมาดูแลตัวเอง รักตัวเอง ให้คุณค่ากับตัวเอง แล้วก็กลับมาออกกำลังกาย กลับมาใช้ชีวิต ทานอาหารให้ตรงเวลา
.
ก่อนหน้านี้กินข้าวไม่ได้เลย กินข้าววันละมื้อ บางทีผ่านไป 24 ชม.ถึงกินอีกมื้อ มันเป็นความเครียดที่เราเก็บไว้ ความเครียดกับเรื่องที่เราเจอต่างๆ นานา แล้วมันโหดร้ายกับเรา พลอยนอนไม่ได้ ไม่หลับ หลับ 2 ชม. แล้วแพนิกแอทแทค คุณแม่เห็นสภาพเรา เดินในบ้านเดินไปเดินมา ตาลอย คิดมาก มือไม้สั่น เหมือนในร่างกายไม่มีวิญญาณแล้ว มือไม้สั่น เครียด ไม่อยากแต่งตัว คิดว่าไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ต้องไปรักษาอย่างจริงจัง ไปอยู่รพ.จิตเวชพักนึงเหมือนกัน ออกมาก็เปลี่ยนรพ. เปลี่ยนหมอ หมอให้ยาแรงเกินไป ไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้น
.
รับยาอยู่ประมาณนึงก็ดีขึ้น ตอนนี้ไม่ได้กลับไปหมอ เพราะอยากดีขึ้นด้วยตัวเอง พอมียามันกดประสาท มันยาก สติไม่มี พอเลิกยาจิตเวช ก็เริ่มดีขึ้น
ดีเปรสชั่นหนักขนาดตัดผมตัวเอง ไม่เกี่ยวยาทำให้ผมร่วง เราถูกทำให้เครียด ถูกกดดันมากๆ จนเป็นบ้า ตัดผมตัวเอง ไม่รู้ทำไปทำไม เหมือนอยากระบายอะไรสักอย่าง ก็เสียใจที่เราทำร้ายตัวเองขนาดนี้ ไม่ให้เกียรติตัวเอง ทำร้ายตัวเองเพื่อให้อีกคนเห็นใจเรา มันไม่ดีเลย
.
ผ่านอะไรมาเยอะ สุดท้ายแล้วต้องรักตัวเอง ค่อยเป็นค่อยไป พูดแล้วจะร้องไห้ ชีวิตเจอหลายอย่างมาก ตอนนี้ให้เวลาตัวเอง ดูแลตัวเองเยอะๆ
.
ตอนนี้พร้อมบอกทุกคน กล้าที่จะขอความช่วยเหลือมากขึ้นจากเพื่อนๆ เพื่อนๆ คอยซัปพอร์ต ให้กำลังใจ ตอนนี้ถามว่าเราโอเค 100 เปอร์เซ็นต์ไหม ก็ยัง แต่อยู่ในขั้นตอนที่เชื่อว่าพรุ่งนี้ก็จะดีขึ้น เพียงแต่ไม่อยากคาดหวังแล้วว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้นแบบไหน ขอแค่ให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดีก็พอ วันนี้เรามีความสุข ความสุขรายวันก็พอ ยิ้มได้บ้าง หัวเราะได้บ้างก็แฮปปี้แล้ว
.
ตอนนี้แข็งแรงขึ้น พอใจกับตัวเองมากขึ้น เอาเป็นวันต่อวัน น้ำหนักเพิ่มขึ้น 8 กิโลกว่าแล้ว ออกกำลังกาย สุขภาพตรวจล่าสุดอย่างละเอียด ไม่มีอะไรผิดปกติ ปลอดภัย แต่ยังต้องกินยาอยู่
.
ปีที่แล้วไม่ใช้ชีวิตเลย ไม่ไปไหนเลย ไม่เดินทางเลย เหมือนเราหวาดระแวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหมด ไม่ใช้ชีวิตเลย ช่วงแรกๆ ไม่ได้ดื่มเลย มาดื่มสิ้นปีมั้ง ดื่มไวน์ แต่พอเช็กอัปร่างกายดีขึ้น ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนนิดนึง แต่ไม่ได้ฝืนตัวเรา ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4 วัน ทั้งพีลาทิสชม.ครึ่ง เวทเทรนนิ่ง 2 ชม. ไหวปั่นจักรยานต่อ สลับๆ 4 วันต่ออาทิตย์
.
ตอนนี้จะหยุดพักเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์นิดนึง ห่วงสุขภาพตัวเองด้วย ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้ชีวิตเลย พอตอนนี้เริ่มดีขึ้นก็เริ่มใช้ชีวิต ตอนนี้ก็คิดว่าจะกลับไปดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดอีกรอบ ตอนนี้ทุกอย่างพอดี ลงตัว ดูแลอาหารมากขึ้น ไม่ได้กินคลีนจ๋า แต่ใช้ชีวิตดี กินดี นอนดี
.
รู้เลยว่าที่เป็นมะเร็งตอนนั้น เพราะเราไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยไปกับการใช้ชีวิต ตอนนั้นกินไม่เป็นเวลา กินเนื้อแดงเยอะมาก เนื้อย่างเยอะ ใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ตามคนของเรา นอนเช้า ช่วงนั้นกินไส้กรอก กินๆ คิดว่ามันคงไปเร่งการเจริญเติบโต รวมทั้งความเครียดด้วย
.
ตอนนี้ไม่กินอาหารแปรรูปแล้ว ถาวร เลิกค่ะ จบค่ะ ขนมถุงก็กินเฮลท์ตี้สแน็ก เลิกกินไส้กรอก มาม่า ตัดค่ะ แต่สิ่งที่ตัดไม่ได้คือชูรสนะ ติดมาก น้ำตาลก็น้อย น้ำตาลมะเร็งรัก เบาหวานรัก คุณหมอไม่ได้ห้ามอะไรเลยเรื่องการใช้ชีวิต ถ้าเราโหดร้ายกับตัวเองจะเป็นความเครียด แต่ถ้าละเลยมากเกินไป จะไม่ดีกับตัวเรา ความพอดีเป็นอะไรที่ยั่งยืน ยาวนาน ไม่เครียด
.
การได้พลอยคนเดิมกลับมาพลอยดีใจมาก การสูญเสียตัวเองไป กลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่า ตอนนี้ดึงตัวเองกลับมาได้แล้ว ดึงจิตวิญญาณตัวเองกลับมาได้แล้ว เป็นช่วงกำลังค้นหาว่าเราอยากทำอะไร มีเป้าหมายอะไรในชีวิตบ้าง แต่ที่แน่ๆ เป้าหมายตอนนี้ รักตัวเองให้มาก เหมือนที่เราเคยรักคนอื่น”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้