‘ปัญญ์ปุริ’ สานเป้าหมายแบรนด์โลก ลุยต่างประเทศ ทุ่ม 500 ล้าน เปิด 50 สาขา
ปลายปี 2567 “ปัญญ์ปุริ” แบรนด์เครื่องหอม เวลเนส และสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติไทยได้สร้างก้าวสำคัญทางธุรกิจ ด้วยการมีทุนใหญ่แดนซามูไร “โคเซ่” (KOSÉ) มาผนวกรวมและช่วยต่อจิ๊กซอว์สานเป้าหมายสู่แบรนด์ระดับโลก
.
ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์บริษัท ได้วางเป้าหมาย 4 ปีข้างหน้า จะเปิดร้าน “ปัญญ์ปุริ” อีก 50 สาขา ยึดหัวหาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะการเปิดประตูสู่ “ญี่ปุ่น-จีน” เป็นสังเวียนใหญ่สร้างแบรนด์ ประกาศศักดารุกตลาดสากล
.
ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ตามแผน 4 ปีของบริษัท จะมีการใช้งบลงทุนราว 500 ล้านบาท เพื่อเปิดร้านปัญญ์ปุริอีก 50 สาขา จากปัจจุบันมีร้าน 30 สาขา ส่วนใหญ่ 90% เป็นร้านค้าปลีกจำหน่ายเครื่องหอม สินค้าไลฟ์สไตล์ และอีก 10% เป็นธุรกิจสปา
.
ในการก้าวสู่เวทีโลก บริษัทมองการปักฐานทัพธุรกิจในประเทศ “ญี่ปุ่น” ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมตัวเปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์บนถนนชอปปองและขึ้นชื่อเป็นสวรรค์ของนักช้อปอย่าง “โอโมเตะซันโด (Omotesando) ย่านฮาราจูกุ กรุงโตเกียว ส่วนอีกหมุดหมายคือการเปิดร้านที่เมือง “เซี่ยงไฮ้” ประเทศจีน
.
นอกจากนี้ รูปแบบการเปิดร้านจะเน้นเป็นร้านเดี่ยวหรือ Stand alone เพื่อนำเสนอตัวตนของแบรนด์ “ปัญญ์ปุริ” ได้ชัดเจนเต็มที่ เป็นการพิสูจน์ตัวเองจากภายนอกก่อนเข้าสู่ห้างค้าปลีก แต่หากต้องเปิดในห้างจะเน้นแบรนด์โดดเด่น เช่น อิเซตัน ย่านชินจูกุ เป็นต้น
.
“เมื่อไปต่างประเทศ การลงทุนอาจจะสูง แต่เราต้องทำให้แบรนด์มีความเด่นชัดขึ้น บ่งบอกตัวตนของปัญญ์ปุริ นำเสนอความเป็นไทย ส่วนการเปิดร้านแฟล็กชิปที่โตเกียวและเซี่ยงไฮ้ เป็นการเปิดประตูสู่ตลาดโลก ที่สำคัญตลาดจีนถือเป็นลูกค้าหลักของปัญญ์ปุริ และหากมองตลาดที่มีกำลังซื้อสูง คือฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เป็นตลาดที่ปัญญ์ปุริมีจุดแข็งด้วย”
.
อย่างไรก็ตาม การได้ส่วนหนึ่งของ “โคเซ่” ยักษ์ความงามระดับโลก และมีความแข็งแกร่งในตลาดสำคัญๆ ช่วยเสริมแกร่งให้กับ “ปัญญ์ปุริ” รอบด้าน เช่น ระบบหลังบ้าน การใช้สำนักงานในประเทศต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงการทำตลาด รวมถึง “เงินทุน”
.
ในการไปต่างประเทศ บริษัทยังเตรียมตั้งสำนักงานระดับภูมิภาค(รีจินัล) ที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมจัดแม่ทัพไปคุมตลาด และจะขยายทีมงานทัพหน้าเพิ่มอีกนับสิบชีวิตเพื่อดูแลแต่ละประเทศ และนอกจากญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ ปัญญ์ปุริ จะมีการเปิดร้านในต่างประเทศ กระจายไปยังตลาดอื่นๆ เพิ่ม เช่น สิงคโปณื ฮ่องกง ฯ
.
ส่วนการสร้างแบรนด์สู่ระดับโลก(Global Brand) บริษัทจะเน้นสื่อสารความเป็นตัวตนของ “ปัญญ์ปุริ” ให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ(Niche) ให้เข้าใจง่าย มุ่งสร้างฐานแฟนคลับ สร้างวัฒนธรรมให้แข็งแกร่ง มากกว่าจะสร้างการรับรู้แบรนด์ระดับแมส โฆษณาใหญ่โต อีกด้านจะมุ่งสร้างความเข้าใจกับพันธมิตร โดยเฉพาะ “คู่ค้า” ทั้งแลนด์ลอร์ด ห้างค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันจากการไปตลาดโลกแล้วราว 15 ประเทศ ผลตอบรับด้านแบรนด์ค่อนข้างดี
.
“เรามุ่งทำการตลาดเจาะกลุ่ม Niche ที่ช้าแต่ชัวร์และสร้างความยั่งยืน”
.
อย่างไรก็ตาม แผน 4 ปี บริษัทต้องการผลักดันรายได้แตะ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโต 3 เท่าตัว จากปี 2567 รายได้ทะลุ “พันล้านบาท” ขณะที่ตลาดเครื่องหอมของโลกมีสัดส่วนราว 20% ของตลาดสินค้าความงาม(บิวตี้)ทั้งหมด และมีการเติบโตเฉลี่ย 7-8% ส่วนในไทยตลาดเครื่องหอมมีสัดส่วนไม่ถึง 10% สะท้อนศักยภาพตลาดยังมีสูง
.
ด้านภาพรวมธุรกิจปี 2568 ยอมรับว่าจากภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่มีความท้าทาย รวมถึงสถานการณ์นักท่องเที่ยวที่หดตัวลง มีผลกระทบต่อบริษัทบ้าง เนื่องจากลูกค้าหลักเป็น “จีน” โดยยอดขาย 100% ต่างชาติ 70% และไทย 30% เจาะเฉพาะต่างชาติ “จีน” ยังมีสัดส่วนราว 50% ด้วย ส่วนพฤติกรรมลูกค้า “ประหยัด” มากขึ้น ส่งผลให้ยอดซื้อต่อบิลอยู่ระดับ 2,000-3,000 บาท ขณะที่สินค้าฮีโร่และดาวรุ่งมาแรงในขณะนี้คือ น้ำหอมต่างๆ ที่ช่วยผลักดันยอดซื้อต่อครั้งให้อยู่ในระดับสูง ด้านนักท่องเที่ยวจีนนิยมซื้อผลิตภัณฑ์อาบนำ้ต่างๆ เป็นต้น
.
“หลังตรุษจีนนักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่ตอนนี้ตลาดเริ่มนิ่งแล้ว และเดิมฐานลูกค้าของปัญญ์ปุริเป็นต่างชาติ 80% แต่ปีนี้ผู้บริโภคชาวไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 30% และยอดขายจากคนไทยเติบโตถึง 50% พอทดแทนการช้อปของลูกค้าจีนได้บ้าง และเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ระบาด ลูกค้าชาวไทยโตขึ้น 4-5 เท่าตัว ทว่า จากสถานการณ์ท่องเที่ยวที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทกระจายความเสี่ยง ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ๆ ทั้งตะวันออกกลาง ยุโรป สหรัฐ ที่เพิ่มขึ้น”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้