ยึดทรัพย์ทักษิณ46,000 ล้านบาทกับเรียกเก็บภาษี 17,600 ล้านบาทเกี่ยวพันกันไหม
เวลาพูดถึง “คดียึดทรัพย์ 46,373 ล้านบาท” ของศาลฎีกา กับ “คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป 17,600 ล้านบาท” ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่กลับไม่ใช่เรื่องเดียว ทั้งที่ต้นเหตุคือ “การขายหุ้นชินคอร์ปปี 2549” เหมือนกันทั้งหมด ความจริงคือ ทั้งสองคดีสัมพันธ์กันในเชิง “ข้อเท็จจริง” แต่เป็นคนละเรื่องในเชิง “กฎหมาย” และ “วัตถุประสงค์ของศาล” อย่างสิ้นเชิง เหมือนเหตุการณ์เดียวกันที่ถูกหยิบไปพิจารณาคนละมุมเพื่อหาความรับผิดคนละแบบ
คดียึดทรัพย์ 46,373 ล้านบาทเป็นคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา โดยรัฐกล่าวหาว่าทักษิณใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ต่อกิจการของชินคอร์ปที่เป็นของครอบครัวตัวเอง ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ ศาลไม่ได้ตัดสินว่าทักษิณมีความผิดทางอาญา แต่ตัดสินให้ “ริบทรัพย์” ในส่วนที่เห็นว่าเกิดจากการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ จำนวน 46,373 ล้านบาท จุดสำคัญคือ คดีนี้มุ่งไปที่ “การใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตน” และคำถามว่า มูลค่าทรัพย์สินที่งอกขึ้นเพราะการใช้อำนาจนั้นควรถูกริบคืนให้รัฐหรือไม่ นี่คือคดีที่เน้นเรื่องทุจริตและความสุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้เกี่ยวกับการคำนวณภาษีแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป 17,600 ล้านบาทเป็นคดีภาษีอากรล้วน ๆ ไม่ใช่คดีทุจริต และเป็นกระบวนพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง ก่อนขึ้นถึงศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เนื้อหาในคดีคือกรมสรรพากรประเมินว่า การขายหุ้นชินคอร์ปผ่านการโอนให้ลูก ๆ ของทักษิณนั้นเป็น “การขายที่ต้องเสียภาษี” ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างนอมินีหรือกลไกใดก็ตาม โดยศาลวินิจฉัยว่าการขายครั้งนั้นต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ผลสุดท้ายจึงมีภาษี เบี้ยปรับ และดอกเบี้ยรวมประมาณ 17,600 ล้านบาท คดีนี้ไม่สนใจว่าทักษิณใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อกิจการหรือไม่ ศาลสนใจเพียงข้อเท็จจริงว่า “มีหน้าที่เสียภาษีหรือเปล่า” เท่านั้น เป็นคดีแพ่งภาษี ไม่ใช่คดีอาญา และไม่เกี่ยวกับการทุจริต
หากจะให้แยกภาพให้ชัดที่สุด คดียึดทรัพย์เป็นเรื่องของ “อำนาจทางการเมือง” ส่วนคดีภาษีเป็นเรื่องของ “หน้าที่พลเมือง” แม้ทั้งสองเรื่องจะเกิดจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่เป้าหมายของศาลต่างกันโดยสิ้นเชิง คดียึดทรัพย์ถามว่า “ทรัพย์สินงอกขึ้นโดยสุจริตหรือไม่” ส่วนคดีภาษีถามว่า “ต้องเสียภาษีหรือไม่” การที่เป็นเหตุการณ์ชุดเดียวกันไม่ได้แปลว่าจะจบเป็นคดีเดียวกัน เพราะกฎหมายคนละเล่ม กระบวนพิจารณาคนละศาล และผลลัพธ์ก็กระทบคนละเรื่อง
ดังนั้น จึงไม่อาจสรุปว่าเป็นคดีเดียวกันหรือแทนกันได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ทั้งสองคดีมีความเกี่ยวพันกันในเชิงข้อเท็จจริง เช่น โครงสร้างการถือหุ้น วิธีการโอนหุ้น การตีความว่าครอบครัวทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นตัวจริงหรือไม่ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลแต่ละศาลต้องพิจารณาตาม “อำนาจหน้าที่ของตัวเอง” จึงกลายเป็นสองคดีที่เดินคู่กันไป และต่างฝ่ายต่างมีคำพิพากษาของตนเอง
ถ้าจะสรุปให้เข้าใจในประโยคเดียวก็คือ: เป็นเหตุการณ์เดียวกันที่ถูกฟ้องคนละมุม คนละศาล จึงได้ผลลัพธ์สองอย่าง ยึดทรัพย์เพราะใช้อำนาจโดยมิชอบ และต้องเสียภาษีเพราะขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีถูกต้อง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้