‘ยาดมหงส์ไทย’ ผลิต 4 ล้านชิ้นก็ไม่พอขาย! โตได้เพราะไม่เป็นหนี้ ไม่กู้เงิน ไม่ว่าร้ายคู่แข่ง
.
น้อยคนนักจะไม่รู้จัก “ยาดมหงส์ไทย” ยาดมที่มาพร้อมรูปทรงกระปุกสีเขียวฉลากสีเหลืองสะดุดตา ทั้งยังสร้างการจดจำจากการเป็นผลิตภัณฑ์ “ยาดมหมัก” เจ้าแรกๆ ในไทย ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยาดมหงส์ไทยเข้าไปนั่งในใจคนไทยจนเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทว่า “ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ผู้ก่อตั้งยาดมหงส์ไทยบอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ช่วงที่เริ่มผลิตไม่ทันเกิดขึ้นระหว่างวิกฤติแพร่ระบาดใหญ่จากไวรัสโควิด-19
ขณะที่สังคมหยุดชะงัก การลงทุนในภาคธุรกิจชะลอตัวลงเพราะสถานการณ์ที่เปราะบาง “หงส์ไทย” เลือกเดินสวนทางกับความเชื่อ ณ เวลานั้น ความสำเร็จที่ทุกคนเห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการทำงานอย่างหนักและไม่เคยหยุดนิ่ง กระทั่งทุกอย่างผลิดอกออกผลในปี 2566 บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด มีรายได้รวม “350 ล้านบาท” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัททะยานสู่หลักร้อยล้านได้สำเร็จ.
แต่ถึงอย่างนั้น “ธีระพงศ์” ก็บอกกับเราว่า หากย้อนดูเฉพาะตัวเลขกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว จะพบว่า ไม่ได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากตนตั้งใจทำสูตรยาดมให้หอมนานสูงสุด 3-4 ปี เมื่อกลิ่นยังคงสภาพเดิมผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อยๆ แม้กำไรจะน้อยแต่สิ่งที่ได้มาทดแทนกัน คือคนใช้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะสร้างขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน
.
:: ผลิตวันนี้ พรุ่งนี้ของหมดทันที “4 ล้านชิ้นต่อเดือน” ก็ไม่พอวางขาย ::
จากหลักร้อยต้นๆ วันนี้ “ยาดมหงส์ไทย” มีพนักงานรวมทั้งสิ้น 600 กว่าคน ดีมานด์ที่เกินกว่าซัพพลาย ทำให้ “ธีระพงศ์” ตัดสินใจเพิ่มเวร “กะดึก” รวมถึงแผนสร้างโรงงานเพิ่มเติมบนพื้นที่ 4 ไร่ ย่านพุทธมณฑลสาย 4 เจ้าของยาดมหงส์ไทยบอกว่า จุดหักเลี้ยวที่ทำให้สินค้าโตกระฉูดจนเป็นที่ต้องการทั้งในและต่างประเทศ เริ่มต้นขึ้นจริงๆ เมื่อปี 2564 ตรงกับช่วงเวลาที่ทั่วโลกเว้นระยะห่างทางสังคม โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ชะลอการลงทุนออกไปก่อน แต่ไม่ใช่กับ “ยาดมหงส์ไทย”
.
“ธีระพงศ์” บอกว่า ตนไม่เคยหยุดพัก แม้จะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนมองว่า ไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม แต่ไม่มีสิ่งใดการันตีได้ว่า จบยุคโควิด-19 แล้ว เศรษฐกิจจะดีขึ้นโดยพลัน เชื่อว่า ต้องสู้ท่ามกลางวิกฤติ เพื่อที่ในอนาคตจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ฉะนั้น ความสำเร็จที่เห็นในวันนี้จึงไม่ได้เกิดจากโชคช่วย เขานิยามว่า เป็นการ “เก็บออม” ความพยายามระหว่างทาง ค่อยๆ สะสมจากการทำงานอย่างหนักมาเรื่อยๆ
.
ทำงานหนักในความหมายของ “ธีระพงศ์” มีหลายรูปแบบ เขายกตัวอย่างตำแหน่งพนักงานขายที่ต้องลงพื้นที่พูดคุยกับลูกค้า บางครั้งคนทำงานเหล่านี้ต้องนำสินค้าไปลงร้านค้าปลีกเพียงหลักหน่วย บางครั้งเข้าไปเติมเพียง 6 กระปุก บางครั้งอาจน้อยถึง “3 กระปุก” ในมุมของผู้ประกอบการวิธีแบบนี้ไม่คุ้มทุนเป็นแน่ แต่ “ธีระพงศ์” เชื่อในเรื่องภาพรวมความสำเร็จ ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ จนมี “แฟนพันธุ์แท้” เกิดขึ้นมากมาย
.
จนถึงปัจจุบันเจ้าของยาดมหงส์ไทยบอกว่า สินค้าผลิตทุกวันแบบไม่มีวันหยุด ตัวที่ขายดีที่สุดยังเป็น “ยาดมผสมสมุนไพร สูตร 2” หรือ ยาดมกระปุกเขียว ทุกวันนี้ผลิตสินค้าได้มากถึง “4 ล้านชิ้นต่อเดือน” แต่เชื่อหรือไม่ว่า เยอะขนาดนี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทุกล็อตขายหมดเกลี้ยงไม่มีสินค้าค้างสต๊อก พูดให้เห็นภาพชัดกว่านั้น คือผลิตวันนี้ พรุ่งนี้ของหมดแล้ว เขาแง้มว่า ทั้งหมดเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศเท่านั้น ส่งออกไปต่างประเทศยังไม่ต้องพูดถึงเพราะแค่วางขายในไทยก็ไม่เพียงพอแล้ว
.
:: Secret Sauce คือหอมทน หอมนาน ยิ่งใช้ ยิ่งมีกลิ่นเฉพาะตัว ::
ไม่ใช่ว่าบ้านเราไม่เคยมีเจ้าตลาดยาดมมาก่อน แต่เพราะอะไรยาดมหมักกระปุกเขียวจึงได้รับความนิยมเช่นนี้ “ธีระพงศ์” กะเทาะสูตรโตให้ฟังว่า นิยามของยาดมหงส์ไทย คือ “ยิ่งใช้ ยิ่งหอม” เขาเรียกส่วนประกอบที่เป็นหัวใจสำคัญของยาดมว่า “ตัวยิงระยะ” ผสมอย่างไร วางสัดส่วนอย่างไร เพื่อให้ยาดมคงความหอมได้ยาวนาน “ธีระพงศ์” บอกว่า ตนไม่สามารถไปกะเกณฑ์ความชอบของลูกค้าได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ประเมินได้ คือลูกค้าชอบความคุ้มค่า โจทย์ของหงส์ไทยจึงกลับมาที่อายุการใช้งาน
.
ยาดมหงส์ไทย 1 กระปุก ใช้ได้นานสุด 3-4 ปี แต่สิ่งที่ตามมาเมื่อเกิดความคุ้มค่า คือความถี่ในการกลับมาซื้อซ้ำ ทว่า “ธีระพงศ์” มองต่างออกไป แม้จะได้กำไรไม่มาก แต่เมื่อลูกค้าใช้นานก็ยิ่งเกิดความผูกพันกับสินค้าซึ่งเป็นเป้าหมายที่ธุรกิจควรไปให้ถึง เขาเปรียบเทียบกับกลิ่นเฉพาะตัวของ “น้ำหอม” ที่มีมากมายหลากกลิ่นไม่ต่างจากยาดม แต่สุดท้ายจะมีอยู่ไม่กี่กลิ่นที่ผู้คนเลือกใช้ กลิ่นหอมสมุนไพรของยาดมหงส์ไทยอยู่ตรงนั้น
“หงส์ไทยใช้ได้นานสุดประมาณ 3-4 ปี บางคนใช้จนไม่เห็นฉลากแล้ว ลอกหมดแล้ว ถ้าลูกค้าไม่ทำหายไปเสียก่อนก็ใช้กันได้ยาวๆ ซึ่งพอใช้ไปนานๆ มันเกิดเป็นกลิ่นเฉพาะตัวนะ ลองไปใช้ของเพื่อนก็กลิ่นไม่เหมือนของเรา เพราะเราใช้ทุกวันจึงสะสมกลิ่นเราลงไปด้วย ส่วนตัวยาดมจะทำให้หอมทนหอมนานขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหลัก ซึ่งถ้าใส่ตัวนั้นไปมากๆ จะทำให้ได้กำไรน้อย แต่ในทางกลับกันเราได้ความผูกพันของลูกค้ามาแทน”.
ส่วน “Pain Point” เรื่องไส้ยาดมหล่นจากกระปุก “ธีระพงศ์” เผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 จะเป็นล็อตใหม่ทั้งหมด ปรับรูปแบบการเย็บตาข่ายไส้ยาดมเป็นทรงสี่เหลี่ยม เพื่อยึดกับตัวกระปุกได้แน่นหนามากขึ้น รวมถึงด้านบนจะมีตะแกรงติดทับอีกชั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องไส้ร่วงหล่นหายอีกต่อไป
.
:: ทำธุรกิจต้องใช้เงินสด คิดถึงพนักงานให้มากแล้วจะเจริญ ::
แม้คอมเมนต์เรื่องไส้ยาดมร่วงจะมีมาพักใหญ่แล้ว แต่เหตุผลที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีเป็นเพราะกำลังการผลิตไม่เพียงพอ หากถามว่า ทำไมจึงไม่ขยายโรงงานเพิ่ม เพราะอย่างไรสินค้าก็ขายได้อยู่แล้ว “ธีระพงศ์” บอกว่า การทำธุรกิจฉบับหงส์ไทย ต้องใช้ “เงินสด” เท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาตนไม่เคยกู้เงิน ไม่เคยเป็นหนี้ ใช้วิธีเก็บหอมรอมริบแบบค่อยเป็นค่อยไป
.
ช่วงแรกๆ อาจมีกู้ยืมบ้างตามประสบการณ์ แต่เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็ไม่เคยกลับไปใช้วิธีการดังกล่าวอีกเลย “ธีระพงศ์” เชื่อเรื่องการเตรียมตัว คิดเผื่อ คิดถึงอนาคต คิดถึง “คนข้างหลัง” อีกนับร้อยชีวิต มองว่า หากในอนาคตมีวิกฤติเข้ามา การใช้เงินสดจะทำให้บริษัทมั่นคง เพราะไม่มีหนี้จึงไม่ทำให้สั่นคลอน ถ้ากู้มาแล้วเกิดเหตุไม่คาดคิด-ปิดหนี้ไม่ได้จะทำอย่างไร เป็นสิ่งที่คนเป็นผู้ประกอบการต้องคิดให้ถี่ถ้วน
.
“การทำธุรกิจของประเทศไทยจริงๆ ผิดวิธี บางคนเน้นกู้ ไม่เน้นเหนื่อย บางคนเหนื่อยแล้วผ่านไปไม่ได้ก็ยิ่งซ้ำเติมเพราะไม่สามารถปิดสวิตช์ตรงนั้นได้ แล้วยิ่งเจอวิกฤติก็ยิ่งไปกันใหญ่ แต่ถ้าเราไม่กู้ให้วิกฤติอย่างไร เราใช้แรงกาย ใช้ความสามารถเข้าสู้ได้ หงส์ไทยไม่ได้เดินตามวัฏจักรนี้ เราต้องการบล็อกไว้ทั้งหมด ไม่อยากให้คนรุ่นหลังต้องมาเสี่ยง”
.
ปัจจุบัน พนักงานหงส์ไทยมีทั้งหมด 600 กว่าคน ประมาณ 300 คน อยู่ที่นี่มา 5-17 ปี และมีราวๆ 150 คน ที่ทำงานกับหงส์ไทยเกิน 10 ปีแล้ว หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เขาไม่ต้องการเป็นหนี้ เพราะมีพนักงานอยู่ในสมการเสมอ หากในอนาคตเกิดวิกฤติไม่ใช่เจ้าของที่เดือดร้อนคนเดียว แต่พนักงานจะพลอยเสียหายไปด้วย ตนเองในฐานะเจ้าของก็ไม่สามารถทอดทิ้งคนเหล่านี้ได้ ฉะนั้น จะทำอะไรต้องคิดเผื่อพนักงานให้มาก
.
“ถ้าเรานึกถึงพนักงานมากๆ เราจะเจริญ” ธีระพงศ์บอก
.
:: ห้ามให้ร้ายคู่แข่ง โทษของคนคุยโว คือ “ไล่ออก” ::
เมื่อถามถึงเป้าหมายในปีนี้ หลังจากปีที่ผ่านมาทำรายได้ทะลุหลักไมล์ร้อยล้านบาทได้สำเร็จ เขาระบุว่า ตนเองไม่เคยคิดว่า บริษัทต้องอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในตลาด โตกี่เปอร์เซ็นต์ ทำรายได้สูงกว่าปีก่อนๆ มากน้อยแค่ไหน ไม่เคยตั้งเป้าเรื่องตัวเลขกับพนักงานสักครั้ง การพูดเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ จะยิ่งทำให้พนักงานรับสารที่ไม่ดีเข้ามา มีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับแบรนด์อื่นๆ สำคัญ คือโฟกัสที่ตัวเองเป็นหลัก
.
หากขายไม่ได้ให้เดินออกมา เพื่อให้คนอื่นๆ แปะมือรับช่วงต่อ และถ้าพนักงานคนไหนพูดทิ้งทวนกับลูกค้าว่า “ยาดมหงส์ไทย” ดีกว่า หอมกว่า เป็นเจ้าตลาด ของแท้ ฯลฯ โทษของพนักงานที่จะได้รับ คือ “ไล่ออก” สิ่งเหล่านี้ทำให้วงการไม่น่าอยู่ มองว่า แบรนด์ต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดมีสภาพแวดล้อมที่ดี
.
ส่วนเรื่องตั้งเป้ายอดขายไม่เคยคิดเช่นกัน เพราะระหว่างทางทุกคนเห็นพร้อมกันอยู่แล้ว หากพนักงานเพิ่มขึ้นก็แปลว่าผลิตได้มากขึ้น เงินเดือนเยอะขึ้นก็แปลว่ารายได้เพิ่มขึ้น
.
“เราไม่มีการตั้งเป้ากับคนทำงาน เป้าของเรา คือวัฏจักรการทำงานของเรา มันเห็นของมันอยู่แล้ว ถ้าไปพูดเยอะๆ พนักงานจะฝังความรู้สึกว่า บริษัทนู้นทำแบบนั้นแบบนี้ เราไม่เคยอบรมพนักงานด้วยการพูดถึงบริษัทอื่น ไม่เคยเลย ขายไม่ได้ก็เก็บข้อมูลเพิ่มมาพัฒนาของเรา คุณเปิดบริษัทมาทำอะไร เปิดมาเพื่อแก้บริษัทอื่นหรือแก้ปัญหาตัวเอง วันนี้ไม่สำเร็จอีกหน่อยก็สำเร็จ แต่ถ้าเราไปโฟกัสเรื่อยเปื่อย ก๊อปบ้าง เปรียบเทียบบ้าง ผมบอกได้เลยว่า เสียเวลา เพราะที่สุดแล้วคุณไม่ได้แก้ที่ตัวเอง”
.
ความภูมิใจของ “ยาดมหงส์ไทย” คือเอนเกจเมนต์บนโลกโซเชียลแบบ “ออแกนิก” ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่เคยมีสักครั้งที่แบรนด์ซื้อโฆษณาหรือจ้างอินฟลูเอนเซอร์ ความร้อนแรงและยอดขายที่โตกระฉูด ทำให้ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา มี “บ้านใหญ่” เข้ามาทาบทามบ่อยครั้ง แต่ “ธีระพงศ์” มองว่า ยังไม่ใช่แนวทางการทำธุรกิจของตน จึงไม่มีแผนร่วมทุนในเร็ววัน รวมถึงการเข้าตลาดหุ้นที่เจ้าของยาดมหงส์ไทยบอกว่า ยังไม่มีแผนเช่นกัน เพราะ “จิต” เรา ไม่ได้ไปในทางนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้