เทรนด์สุขภาพ บูมตลาดบิวตี้ เอกชนหวัง ขัดแย้งโลก สงครามการค้าไม่แย่ลง!
หากมองปี 2568 ผู้ประกอบการในธุรกิจความงามทั้งฝั่งผลิต สร้างแบรนด์ รวมถึงเจ้าของร้านหรือค้าปลีกยังมอง “ปัจจัยบวก” จะหนุนการเติบโตได้
รวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ผู้ทำตลาด “ศรีจันทร์” เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดสินค้าความงามปี 2568 ยังมีปัจจัยบวกที่จะผลักดันการเติบโตได้ โดยเฉพาะ “เทรนด์สุขภาพ” ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่แค่ภายนอก แต่ตระหนักต้องดีจากภายในด้วย จะเป็นสิ่งที่มี “คุณค่า”อย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคพร้อมจะ “ลงทุน”.
ทว่า ท่ามกลางสัญญาณบวก ตลาดสินค้าความงาม รวมถึงภาคธุรกิจ ยังเผชิญความท้าทายใหญ่ที่น่าเป็นห่วงคือ “สงครามการค้า” รวมถึงความขัดแย้งของ “ภูมิรัฐศาสตร์โลก” ที่เกิดเมื่อใด จะส่งผลกระทบลามโลกมายังประเทศไทย และผู้ประกอบการอยู่เสมอ เช่น ค่าขนส่ง ค่าระวางเรือที่พุ่งกระฉุด ซึ่งที่ผ่านมาเคยเจอเหตการณ์ต้นทุนค่าระวางเรือขึ้นไปแตะ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมระดับ 400 ดอลลาร์เท่านั้น
“ยุคนี้ผู้คนมีความรู้มากขึ้น คนจะใฝ่หาสิ่งที่ทำให้สุขภาพดี และยินดีจะลงทุนเพื่อสุขภาพ ทำให้อีกหน่อยเทนด์สุขภาพจะสำคัญยิ่งขึ้น ประกอบกับไทยมีความแข็งแกร่งมากในด้านสุขภาพหรือ Wellness มายาวนาน จึงมองว่าเป็นโอกาสของภาคธุรกิจ และเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วย ส่วนที่น่าห่วงปีหน้า ซึ่งไม่รู้จะออกหน้าหรือหลังยังไง คือภูมิรัฐศาสตร์ และเราหวังไม่ให้เหตุการณ์แย่ไปกว่านี้”.
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจปี 2568 ศรีจันทร์ ยังคงเสาะหาสิ่งใหม่ๆที่น่าทำ การเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการตอบสนองกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเทรนด์สุขภาพ ด้านสินค้ามุ่งทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณหรือสกินแคร์มากขึ้น เพราะมีการเติบโตสูงประมาณ 20% เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์บางตัวเติบโต 128% ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนสินค้าบริษัทมี 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอาง เช่น แป้ง รองพื้น คุชชั่น และสีสันหรือเมกอัพ ฯ กลุ่มกันแดด และกลุ่มสกินแคร์ ที่เริ่มทำตลาดราว 4 ปี
ด้านภาพรวมเศรษฐกิจ กำลังซื้อชะลอ ผู้บริโภคกลุ่มสินค้าบิวตี้ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” อย่างมาก ยังเห็นภาพ “ลิปสติกเอฟเฟกต์” คือผู้บริโภคที่รู้สึกเบื่อ เซ็ง ไม่ซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ แต่ซื้อสินค้าชิ้นเล็กเพื่อใช้มากขึ้น รวมถึงสินค้าแบบซองหรือซาเช่ขายดี เป็นเซ็กเมนต์ที่น่าสนใจ ส่วนหนึ่งพกใช้ง่าย สะดวก อีกด้านผู้บริโภค “ลืมบ่อย” ด้วย.
สำหรับปี 2567 “ต้นทุนโหด” เป็นสิ่งที่ธุรกิจความงามเผชิญ เหนื่อยในการบริหารจัดการ เพราะสินค้ายังไม่ได้ขึ้นราคา อย่างพลาสติกบางชนิดขึ้น 5-6% บริษัทต้องหาวิธีลดต้นทุน ดีไซน์แพ็คเกจจิ้งใหม่ ดูประสิทธิภาพการขนส่ง เพิ่มความแม่นยำ ไม่ต้องสั่งวัตถุดิบมาสต๊อกไว้ ลงทุนด้านดาต้ามากขึ้น เพื่อใช้ข้อมูลออกแบบกระบวนการต่างๆให้ “Lean” ยิ่งขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม ปี 2567 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 50% หรืออยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ด้านความคืบหน้านำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อระดมทุนยังตั้งไว้ในปี 2569 เพื่อนำเงินที่ได้ไปต่อยอดธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะด้านการวิจัยและพัฒนา(R&D)ผลิตภัณฑ์
.
“ยอดขายเราเติบโต 50% เป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว ในการทำธุรกิจปี 2568 จริงๆทุกปี เมื่อเราเข้าใจลูกค้ามากในระดับหนึ่ง ก็มองปัจจัยบวก ทดลองทำสิ่งที่ทำให้เรามีความแม่นยำมากขึ้น เช่น เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า เวลาเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มสื่อต่างๆ เพื่อที่เราจะได้เสิร์ฟแคมเปญการตลาดให้เหมาะสม ซึ่งเป็นความท้าทายเรามาก รวมถึงทุกแบรนด์ เราต้องตื่นตัวตลอด เพราะคู่แข่งก็ออกสินค้าใหม่ๆทุกวัน ทำแคมเปญตลอดเวลา ทีมงานต้องอะเลิร์ทมาก”
.
ไพลิน อึ๊งพลาชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลตี้ บิวตี้ จำกัด กล่าวว่า เทรนด์สินค้าความงามปี 2568 ที่จะมาแรงสุดคือกลุ่มสกินแคร์ เพราะปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณตั้งแต่เริ่มต้นทั้งก่อนแต่งหน้า ส่วนพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่าน “ออนไลน์” ยังขยายตัว แต่ผู้บริโภคก็ต้องการ “หน้าร้าน” เพื่อ “ลองสินค้า” ก่อนตัดสินใจซื้อเช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าสร้างแบรนด์ “มัลตี้” ให้ครองใจผู้บริโภคหรือ Top if Mind ในการเป็นร้านค้าปลีกสินค้าความงามเกาหลี มีความเทรนด์ดี้ รวมถึงการขยายช่องทางจำหน่ายออนไลน์ให้เติบโต อีกด้านเป็นการเก็บ “ข้อมูล” หรือ Data ของผู้บริโภคเพื่อต่อยอดธุรกิจ.
ส่วนการขยายร้านมัลตี้ ปีหน้าวางแผนเปิดเพิ่ม 2-3 สาขา จากปี 2567 เปิด 5 สาขา และต้องการผลักดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ในปีที่ 10 จากปัจจุบันดำเนินธุรกิจมา 7 ปี
.
“พฤติกรรมผู้บริโภคดูแลตัวเองดีขึ้น โดยเฉพาะผิวพรรณ เมื่อก่อนสินค้ากลุ่มสีสันมาแรง เติบโต เพียงทาปากก็ฉุบฉับสวย แต่ปีนี้ปีหน้างานผิวมาแรง และคนต้องการสวยจากข้างใน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้