TFG เปิดเกมรุก ‘ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต’ พาร้านค้าปลีกเข้าจดทะเบียน SET
TFG กางแผนธุรกิจเชิงรุกครึ่งปีหลัง ด้วยกลยุทธ์ “รุกรับ” ทั้งในและต่างประเทศ ยก “ธุรกิจค้าปลีก” ภายใต้แบรนด์ “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” ขึ้นแท่น “พระเอก” ดันขยายสาขาเพิ่มเป็น 620 แห่ง และ “เวียดนาม” เป็นหัวหอกขับเคลื่อนการเติบโตอนาคต พร้อมตั้งงบลงทุน 2,500 ล้านบาท มั่นใจรายได้ปี 68 เติบโตทะลุ 15% ท่ามกลางปัจจัยบวกจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และความชัดเจนจากมาตรการภาษีของสหรัฐ
.
พลันที “มาตรการภาษีของทรัมป์” ที่ประเทศไทยได้รับคือ 19% และเราในฐานะผู้ประกอบการ “ภาคเอกชน” เมื่อมีความชัดเจน เราก็พร้อมที่จะ “ใส่เกียร์” เดินหน้าธุรกิจได้ทันที หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแบบครบวงจร โดยเน้นที่ธุรกิจไก่และสุกรเป็นหลัก
.
สะท้อนผ่าน “4 โครงสร้างธุรกิจ” ของ TFG ประกอบด้วย “ธุรกิจไก่” ประกอบธุรกิจตั้งแต่การเพาะพันธุ์ลูกไก่เนื้อ การเลี้ยง การชำแหละ ไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป “ธุรกิจสุกร” ครอบคลุมการเพาะพันธุ์ การเลี้ยง และการจำหน่ายสุกรมีชีวิตและชิ้นส่วน
.
ธุรกิจอาหารสัตว์ ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ โดยส่วนใหญ่เพื่อรองรับการเลี้ยงไก่และสุกรของบริษัทเอง “ธุรกิจค้าปลีก” มีร้านค้าปลีกของตัวเองภายใต้ชื่อ “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” (Retail Shop) ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่และสุกรของ TFG รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท
เพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากผลตอบรับที่ดีเกินคาดของ “ธุรกิจค้าปลีก” (Retail) ทำให้บริษัทตัดสินใจ “ปรับเพิ่มเป้าหมาย” ด้วยการมุ่งเน้นขยายสาขาร้านค้าปลีก “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” เป็นจำนวน 620 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 และในปี 2569 ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายเป็น 850 สาขา จากเดิม 750 สาขา โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มีจำนวนสาขาแล้ว 462 สาขา ซึ่งการขยายตัวนี้จะช่วย “เพิ่มมาร์จิน” ให้กับธุรกิจและสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานโดยรวมเติบโตแข็งแกร่ง
.
สอดรับแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทาง “สดใส” จากยอดขายไก่และสุกรที่เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะเข้าสู่ช่วง High Season รวมถึงราคาวัตถุดิบต้นทุนที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่งผลดีโดยตรงต่อภาพรวมธุรกิจทำให้มั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้เติบโตกว่า 15%
.
:: “ค้าปลีก” พระเอกขับเคลื่อนรายได้ TFG ::
หากจะเอ่ยถึงธุรกิจที่โดดเด่น และเป็น “เรือธง” (Flagship) ของ TFG ที่ทำรายได้สูงสุด หรือเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนบริษัท คงต้องยกให้ “ธุรกิจค้าปลีก” ภายใต้แบรนด์ Thai Foods Fresh Market ซึ่งกลายเป็น “พระเอก” ที่สร้างรายได้สูงสุด (New High) ให้กับบริษัท โดยมีสัดส่วนรายได้เกือบ 40% ของรายได้รวมทั้งหมดในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
.
ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัดและชุมชนต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย สุขอนามัยที่ดี และสินค้าคุณภาพมาตรฐานส่งออกในราคาที่เข้าถึงได้ ได้รับผลตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารรายเล็ก (B2B) ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนลูกค้าเพียง 30% แต่กลับสร้างยอดขายได้มากถึง 70% เนื่องจากเป็นการซื้อสินค้าในปริมาณมากต่อบิล และลูกค้ารายย่อย (B2C) มีสัดส่วนลูกค้าถึง 70% แต่สร้างยอดขายได้ระดับ 30%
.
นอกจากนี้ TFG ได้ปรับกลยุทธ์ด้านสินค้าภายในร้าน โดยมอง Thai Foods Fresh Market เป็น “Market Place สำหรับทุกคน” และ Food Solution Provider จากเดิมที่เน้นสินค้าของตนเองเป็นหลัก ปัจจุบันได้เพิ่มสัดส่วนสินค้าจากภายนอกที่ไม่ใช่ของ TFG เป็น 25% และตั้งเป้าหมายในระยะยาวที่ 40% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแช่แข็งและสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (non-food) ที่ให้อัตรากำไร (margin) สูงกว่าสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรก แทนที่จะบังคับให้ลูกค้าซื้อเฉพาะสินค้าของบริษัทฯ
.
อีกหนึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างน่าจับตามอง คือ “ธุรกิจในประเทศเวียดนาม” ที่สามารถสร้างรายได้เกินกว่า “ระดับหมื่นล้านบาท” แล้วจากการขยายกำลังการผลิตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากใช้เวลา 15 ปีในการทำความเข้าใจตลาด โดย “ตลาดเวียดนาม” มีศักยภาพสูงเนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก และมีผู้ประกอบการรายย่อยถึง 80% ซึ่งสร้างโอกาสในการเติบโตสำหรับผู้เล่นรายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดโรคระบาดในสุกร เช่น ASF ยิ่งเป็นตัวเร่งให้บริษัทสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้เร็วขึ้น จากระบบการจัดการด้านความปลอดภัยที่ดีของบริษัท
.
ปัจจุบัน TFG ก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นอันดับ 3 ในตลาดหมูเวียดนาม โดยมียอดขายหมูเพิ่มขึ้นจาก 7,000 ตัวต่อเดือนเมื่อ 5 ปีก่อน เป็น 80,000 ตัวต่อเดือนในปัจจุบัน สำหรับแผนในระยะยาว TFG ยังมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในเวียดนามจากหมูไปสู่การผลิตไก่และอาหารสัตว์ โดยในปีนี้ได้ลงทุนสร้างโรงงานอาหารสัตว์ของตนเอง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตได้กลางปี 2568 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพการผลิต
:: “ไก่ส่งออก” ยังคงแกร่ง รับอานิสงส์ต้นทุนอาหารสัตว์ ::
เพชร กล่าวให้ฟังต่อว่า ธุรกิจไก่ส่งออกยังคงทำผลงานได้ดีในปีนี้ โดย TFG ตั้งเป้าเติบโตแบบ Organic ในตลาดเดิม อย่าง สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ญี่ปุ่น และจีน ประมาณ 10% ขณะเดียวกัน ก็มองเห็นโอกาสใน “ตลาดใหม่ๆ” ที่เกิดขึ้นเมื่อประเทศคู่แข่งประสบปัญหา เช่น เกาหลีที่เริ่มติดต่อเข้ามาเมื่อประเทศบราซิลมีปัญหาไข้หวัดนก
.
นอกจากนี้ นโยบายการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ ที่อาจทำให้ “ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง” ซึ่งจะช่วย “เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” ของไก่ไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับบราซิล ซึ่งเดิมมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยถึงระดับ 30%
.
ขณะที่ ในปีนี้ TFG วางแผนลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยประมาณ 80% จะเป็นการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก Thai Foods Fresh Market และส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ที่ประเทศเวียดนาม โดยการลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ในเวียดนามจะแบ่งการลงทุนเป็น 2 เฟส “เฟสแรก” ใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท และ “เฟสสอง” ประมาณ 500-700 ล้านบาท ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตรวม 100,000 ตัน
.
:: “ไอพีโอธุรกิจค้าปลีก” มีแผนงาน พาร้านค้าปลีกเข้าจดทะเบียน SET ::
สำหรับ อนาคต TFG มีแผนที่จะนำธุรกิจค้าปลีก Thai Foods Fresh Market จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) เพื่อให้ธุรกิจลูกสามารถเติบโตได้อย่างอิสระและมีโอกาสขยายตัวได้มากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้