ยุคใหม่ท่องเที่ยว ‘Value Over Volume’ พยุงรายได้โต สมฐานะ ‘เดอะแบก’ ฮีลใจเศรษฐกิจไทย
‘ฐาปนีย์’ ผู้ว่าการ ททท. ย้ำโอกาสใหม่ “ภาคท่องเที่ยว” เน้นสร้างคุณค่าเชิงรายได้มากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว หรือ ‘Value Over Volume’ ในฐานะเดอะแบกของเศรษฐกิจไทย ที่ต้องเผชิญสารพัดความท้าทาย รุกเจาะ 5 เซ็กเมนต์ศักยภาพ “เศรษฐกิจสุขภาพ-ซับคัลเจอร์-ท่องเที่ยวยามค่ำคืน-มาตรการปลอดภาษี-สังคมไร้เงินสด”
.
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวในงาน 55th Nation Group THAILAND’s NEW PROSPECT ณ สเฟียร์ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ว่า ภาคการท่องเที่ยวคือส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสใหม่แก่ประเทศไทย ในฐานะสมญานาม “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์” (Amazing Thailand) ดินแดนแห่งรอยยิ้มและความสุข ต้องปรับเปลี่ยนอย่างชาญฉลาดเพื่อเข้าถึงโอกาสสร้างตำนานใหม่แก่ประเทศไทย
ปัจจุบันท่องเที่ยวถือเป็นเดอะแบกของคนทั้งประเทศ เอาภาคการท่องเที่ยวมาแก้ไขเรื่องต่างๆ ของเศรษฐกิจไทย แต่ก็มีความท้าทายมากมายจากปัจจัยความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลกและในประเทศ ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ รวมถึงปัญหาด้านการเมือง ความมั่นคง และภาพลักษณ์ อย่างปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ก็สร้างผลกระทบใหญ่ต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก
.
“ในปี 2568 ภาคการท่องเที่ยวไทยเจอบททดสอบสำคัญ ตั้งแต่เจอน้ำท่วมใหญ่บางพื้นที่ปลายปีที่แล้ว รวมถึงการหายตัวไปของ ซิงซิง นักแสดงชาวจีนเมื่อเดือน ม.ค. ส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนอย่างมาก จนถึงเหตุแผ่นดินไหว และปัญหาธุรกิจสีเทากับการบังคับใช้กฎหมาย เราอย่าล้อเล่นกับความรู้สึกของใคร นี่คือบทเรียนที่ภาคการท่องเที่ยวไทยต้องเร่งแก้เพนพอยต์ให้ได้”
.
ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลก แต่ในยุคใหม่ ความสำเร็จของการท่องเที่ยวจะไม่วัดจากจำนวนคนที่มาเพียงอย่างเดียว แต่จะวัดจากความรู้สึกของคนที่กลับไปด้วย สอดรับกับนโยบาย “Value Over Volume” สู่การสร้างคุณค่ามากกว่าปริมาณ
โดยสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ย. 2568 มีจำนวนสะสม 27.76 ล้านคน ลดลง 7% เทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากตลาดระยะใกล้ที่ลดลงกว่า 13.73% มีจำนวนการเดินทางเข้าไทย 19.03 ล้านคน แต่ยังได้ตลาดระยะไกลเดินทางเข้ามา 8.73 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.15% และคาดว่าปีนี้จะมีตลาดระยะไกลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่ง ททท.พยายามดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพมาเติมเต็มการใช้จ่าย เพิ่มรายได้การท่องเที่ยวมากขึ้น
.
นางสาวฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ททท.วางกลยุทธ์มุ่งสู่ พรีเมียม เดสติเนชัน (Premium Destination) ผ่าน 5 เซ็กเมนต์ ได้แก่
1.เศรษฐกิจสุขภาพ (Wellness Economy) นอกเหนือจากการเจาะกลุ่มสูงวัย ดึงเข้ามาพักผ่อนและใช้จ่ายในไทยแล้ว นักท่องเที่ยววัยอื่นๆ ยังมองหาโปรดักต์ด้านลองจิวิตี้ (Longevity) ด้วยประเทศไทยยืนหนึ่งด้านการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ มีหมอเก่งและสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน JCI จำนวนมากติด 1 ใน 3 ของภูมิภาค
.
2.เศรษฐกิจซับ-คัลเจอร์ (Sub-culture Economy) เจาะลึกและขยี้ถึงดีเอ็นเอของนักท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมออนไลน์ขยายความเชื่อมเกี่ยว เช่น กลุ่มฟิล์มเมกเกอร์ กลุ่มวินเทจเลิฟเวอร์ และกลุ่มมูเตลู
.
3.เศรษฐกิจยามค่ำคืน (Night Economy) กระจายความเจริญสู่เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว โดยอยากให้รัฐบาลเร่งแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเอื้อภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น
.
4.เศรษฐกิจปลอดภาษี (Tax-free Economy) เป็นอีกหนึ่งแนวทางกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว เพราะการผลักดันมาตรการภาษีจะช่วยจูงใจให้นักท่องเที่ยวจับจ่ายมากขึ้น และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นลักชัวรี เดสติเนชัน ในขณะที่หลายๆ ประเทศก็เริ่มนำมาตรการปลอดภาษีมาใช้ เช่น จีน เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว จึงอยากย้ำว่าไทยไม่ต้องการตามหลังคู่แข่งที่น่ากลัวมากๆ จึงอยากเห็นรัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการนี้
.
5.เศรษฐกิจพร้อมเพย์ (Prompt-pay Economy) บริการจ่ายเงินทุกระดับประทับใจ ร้านค้าทุกระดับได้ประโยชน์ หลังจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสด
.
“ยุคใหม่ของการท่องเที่ยวไทยไม่ใช่ยุคที่เน้นรับจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เป็นยุคที่มุ่งสร้างการเดินทางที่มีคุณค่า สร้างรายได้ให้กับชุมชน เป็นที่มาของการนำเสนอแคมเปญสื่อสารการตลาดใหม่ของ ททท.ภายใต้แนวคิด Healing is The New Luxury ตีความคำว่าความหรูหราในมุมใหม่ ว่าเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้กับจิตใจ ช่วยฮีลใจนักท่องเที่ยวในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทายรอบตัว ประเทศไทยมีพร้อมทุกอย่าง เราสามารถผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) จากความสวยงามของธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้