โมเดลธุรกิจ โรงหนัง MAJOR ทำไมรายได้กว่าครึ่ง ไม่ได้มาจาก ขายตั๋วหนัง

รู้หรือไม่ ? บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป หรือ MAJOR เจ้าของโรงภาพยนตร์อย่าง Major Cineplex, EGV, Paragon Cineplex และ MEGA Cineplex

บริษัทนี้ มีรายได้มาจากการขายตั๋วหนัง เพียงครึ่งเดียว ของรายได้บริษัท..

ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มาจากธุรกิจอื่น ที่เกี่ยวข้องกับโรงภาพยนตร์
เช่น รายได้จากพ็อปคอร์น-เครื่องดื่ม โฆษณา และให้เช่าพื้นที่
โดยในปี 2566 รายได้ทุก ๆ 100 บาทของ MAJOR มาจากธุรกิจเหล่านี้ถึง 49 บาท

แล้วทำไมโมเดลรายได้ ของธุรกิจโรงภาพยนตร์เครือ MAJOR
ถึงมีรายได้เกือบครึ่งหนึ่ง มาจากธุรกิจอย่างอื่นที่ไม่ใช่การขายตั๋วหนัง
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ

หากพูดถึงเฉพาะธุรกิจหลักของ MAJOR นั่นคือ การฉายหนังในโรงภาพยนตร์
ก็ต้องบอกว่า ในการฉายหนัง 1 รอบ ก็มีต้นทุนเกิดขึ้นหลายอย่าง 
ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนค่าไฟ ค่าฟิล์มหนัง และค่าพนักงาน

ซึ่งต้นทุนเหล่านี้ก็จะถือเป็น Fixed Cost 
ที่ไม่ว่าจะมีคนเข้าไปดูหนัง 1-2 คน หรือเข้าไปดูหนังเต็มโรง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นสม่ำเสมอ ระหว่างการฉายภาพยนตร์

นอกจากนี้ รายได้ทุกบาททุกสตางค์จากการฉายภาพยนตร์
ก็ต้องมีการแบ่งรายได้จากการฉาย ไปให้กับบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์อีกด้วย

จากต้นทุนดังกล่าวก็จะเห็นว่า ในการฉายภาพยนตร์ 1 รอบ
หากมีคนเข้ามาดูหนังเพียงน้อยนิด ก็จะทำให้โรงภาพยนตร์มีโอกาสขาดทุนสูงนั่นเอง

ดังนั้น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ จึงต้องหาทางทำอย่างไรก็ได้ 
ให้การฉายภาพยนตร์ 1 รอบ มีคนเข้ามาดูได้มากที่สุด เพื่อให้เลยจุดคุ้มทุน จนกลายมาเป็นกำไรให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น

- การฉายภาพยนตร์เรื่องใหม่ในวันพฤหัสบดีเป็นวันแรก เพื่อดึงคนให้เข้ามาดูหนังเรื่องใหม่ ๆ ในวันธรรมดาได้

- ทำโปรโมชัน มูฟวี่ เดย์ ที่ลดราคาดูหนังทุกวันพุธ เพื่อดึงคนให้เข้ามาดูหนังกลางสัปดาห์

- ลดรอบฉายภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยทำเงิน และโปรโมตหนังชนโรง ซึ่งก็คือหนังที่คาดว่าจะมีคนดูเยอะ 
เพื่อดึงคนให้เข้ามาดูหนังในโรงภาพยนตร์มากขึ้น

- เป็นพาร์ตเนอร์กับค่ายบัตรเครดิต ธนาคาร และบริษัทต่าง ๆ เพื่อนำรหัสมาแลกรับเป็นส่วนลดในการดูหนัง

- ทำบัตรสมาชิกสำหรับดูหนังแบบบุฟเฟต์ อย่างบัตร MPass แล้วเก็บค่าสมาชิกรายเดือน

ไปจนถึงการอัปราคาที่นั่ง ถ้าอยากมีประสบการณ์ดูหนังแบบพรีเมียม อย่างที่นั่งแบบ Honeymoon Seat, Privilege Chair
หรือจอภาพยนตร์แบบ Ultra Screen และจอยักษ์ IMAX 

นอกจากกลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้คนเข้ามาดูหนังในโรงภาพยนตร์มากขึ้น
แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยให้ MAJOR มีเม็ดเงินที่ไหลลงมาเป็นกำไรมากขึ้น นั่นก็คือ 

ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม อย่างพ็อปคอร์นและน้ำอัดลม

ก็ต้องบอกว่าธุรกิจขายพ็อปคอร์นภายในโรงภาพยนตร์นั้น
มีจุดเริ่มต้นมาจากสหรัฐอเมริกาเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มีพ่อค้าหรือแม่ค้านิยมขายพ็อปคอร์นหน้าโรงภาพยนตร์

ซึ่งต่อมาพ็อปคอร์นหน้าโรงภาพยนตร์ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก 
ด้วยความเป็นขนมกรุบกรอบ แต่มีรสชาติไม่จัดจ้านมากนัก และสามารถทานได้ง่ายในขณะดูหนัง 
แถมพ็อปคอร์น มีวัตถุดิบมาจากข้าวโพด ซึ่งสามารถหาได้ง่ายและมีราคาถูก

จนทำให้การทานพ็อปคอร์นในโรงภาพยนตร์ กลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายไปทั่วโลก

เมื่อการทานพ็อปคอร์นในโรงภาพยนตร์เป็นที่นิยม
ทำให้โรงภาพยนตร์หลายแห่ง เริ่มมองเห็นจุดที่จะทำกำไรให้กับธุรกิจได้
โดยการนำพ็อปคอร์นมาขายในขณะชมภาพยนตร์ ในราคาที่สูงกว่าร้านค้าปลีกทั่วไป

ซึ่งเราจะเห็นได้จากโรงภาพยนตร์ Major Cineplex หรือ SF Cinema
ที่นิยมขายพ็อปคอร์นในราคาเริ่มต้นเกือบ 100 บาทขึ้นไป
และขายชุดพ็อปคอร์นกับน้ำอัดลม ในราคาต่อเซตไม่ต่ำกว่า 150 บาท

นอกจากนี้ทั้ง Major และ SF ก็ยังมีการจำหน่ายอาหาร และเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ร่วมด้วย
อย่างเช่น น้ำอัดลม กาแฟ ขนมขบเคี้ยว และฮอตด็อก 
โดยขายในราคาโรงภาพยนตร์ คือเป็นราคาที่สูงกว่าร้านทั่วไป

แถมทางโรงภาพยนตร์ ก็มีกฎเหล็กไม่ให้นำอาหารและเครื่องดื่มจากร้านข้างนอก 
เข้ามาทานภายในโรงภาพยนตร์ด้วย

นอกจากนี้ MAJOR ก็ยังนำพ็อปคอร์น ไปขายข้างนอกโรงภาพยนตร์ในแบรนด์ของตัวเอง
โดยไปขายตามตู้ Kiosk หรือร้านเล็ก ๆ ในศูนย์การค้า 

และขายตามร้านค้าปลีกต่าง ๆ อย่าง 7-Eleven, Villa Market และ Gourmet Market 

จากกลยุทธ์การขายอาหารและเครื่องดื่มของ MAJOR 
ทำให้ในปี 2566 MAJOR มีรายได้เฉพาะส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม มากถึง 2,340 ล้านบาท

ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 27% ของรายได้เครือ MAJOR ทั้งหมด

และที่น่าสนใจคือ รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม อย่างพ็อปคอร์นทุก ๆ 100 บาท 
เมื่อหักต้นทุนอย่างค่าวัตถุดิบแล้ว จะไหลลงมากลายเป็นกำไรขั้นต้น มากถึง 58 บาท เลยทีเดียว

เท่านั้นยังไม่พอ ธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่าง MAJOR 
ก็ยังมีรายได้จากอีกขาหนึ่ง นั่นคือ รายได้จากโฆษณา

ซึ่งธุรกิจโฆษณาของ Major ก็จะประกอบไปด้วย

- โฆษณาก่อนฉายภาพยนตร์ ประมาณ 20-30 นาที
- โฆษณาตอนช่วงทดสอบเสียง อย่าง Digital Soundcheck Presented by ………..
- โฆษณาตอนให้ปิดโทรศัพท์มือถือก่อนภาพยนตร์เริ่มฉาย

- โฆษณาตามป้ายบิลบอร์ด หรือจอ LCD ที่อยู่ตามจุดจำหน่ายตั๋ว 
ไปจนถึงด้านหน้าทางเข้าโรงภาพยนตร์
- Naming Sponsor โดยให้มีชื่อสปอนเซอร์ตามโรงภาพยนตร์ 
อย่าง Krungsri Imax ที่ Paragon Cineplex

จะเห็นว่าเราจะเจอสื่อโฆษณาต่าง ๆ ของโรงภาพยนตร์ 
ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าไปซื้อตั๋ว ไปจนถึงตอนที่ภาพยนตร์เริ่มฉายเลยทีเดียว..

นอกจากนี้ Major ก็ยังมีธุรกิจที่ทำเงินเพิ่มเติมอีก นั่นคือ

- ธุรกิจบันเทิง อย่างลานโบว์ลิงและคาราโอเกะ Blu-O และลานสเกต Sub-Zero ของเครือ MAJOR

ที่น่าสนใจคือ ธุรกิจบันเทิงอย่างโบว์ลิง สามารถทำกำไรให้ MAJOR ได้เป็นกอบเป็นกำ
โดยรายได้จากธุรกิจบันเทิงทุก ๆ 100 บาท คิดเป็นกำไรขั้นต้นมากถึง 49 บาทเลยทีเดียว

- ธุรกิจปล่อยพื้นที่ให้เช่า ทั้งพื้นที่ภายในโรงภาพยนตร์ Major 
และพื้นที่ศูนย์การค้า Major รูปแบบสแตนด์อะโลน อย่าง เมเจอร์สุขุมวิท เมเจอร์รัชโยธิน และเมเจอร์รังสิต  

- ธุรกิจสื่อภาพยนตร์ หรือ Movies Content 
ซึ่งเป็นธุรกิจผลิต และจัดจำหน่ายภาพยนตร์ เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์, Free TV และระบบสตรีมมิง

จะเห็นว่า ทั้งธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม โฆษณา มาจนถึงธุรกิจบันเทิง อย่างโบว์ลิง 
ล้วนเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ และช่วยเสริมกำไร ให้กับธุรกิจโรงภาพยนตร์เครือ MAJOR นั่นเอง

ซึ่งถ้าเราไปดูรายได้และกำไร ของโรงภาพยนตร์เครือ MAJOR ปี 2566 ก็จะเห็นว่า

มีรายได้ 8,734 ล้านบาท
กำไร 1,042 ล้านบาท

แล้วมาดูกันอีกที ว่ารายได้ของ Major ในปี 2566 ทุก ๆ 100 บาทนั้น มาจากอะไรบ้าง

สรุปคือมาจาก
1. ธุรกิจโรงภาพยนตร์ และบัตรสมาชิก 51 บาท

2. ธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรงภาพยนตร์ 49 บาท ซึ่งประกอบไปด้วย

- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เช่น พ็อปคอร์น และน้ำอัดลม 27 บาท
- ธุรกิจสื่อโฆษณา อย่างเช่น โฆษณาก่อนหนังฉาย 12 บาท
- ธุรกิจโบว์ลิงและคาราโอเกะ 5 บาท
- ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ 3 บาท
- ธุรกิจสื่อภาพยนตร์ หรือ Movies Content 2 บาท

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นภาพรวมธุรกิจทั้งหมดของ Major 
ที่รายได้เกือบครึ่งหนึ่ง มากธุรกิจอื่นที่ไม่ได้มาจากการ ขายตั๋วหนัง นั่นเอง..

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

สงครามร้านชานมไข่มุกพลิกสู่บลูโอเชี่ยน! ‘แบร์เฮาส์’ ผุด 109 สาขา ปี 71

‘HAAB’ ขายขนมไข่เดือนละ ‘3 ล้านชิ้น’ เปิดร้านมา 1 ปี เตรียมบุก ‘มาเลเซีย’ เป็นประเทศแรก

ลอรีอัล ปารีส พา “ณิชา” บินลัดฟ้าสร้างปรากฎการณ์ Walk Your Worth โชว์บนรันเวย์สุดอลังการ ใจกลางหอไอเฟล ณ กรุงปารีส

เมื่อคนใส่กางเกงยีนส์ กลายเป็นคนมี Creative Looking

มิติใหม่แห่งการเสพสื่อ เรื่องแบบนี้คุณต้องรู้