‘โรงเรียนไทย’ ทยอยตาย ส่วน ‘โรงเรียนนานาชาติ’ เปิดใหม่ทุกปี ค่าเทอมครึ่งล้านก็ยอมจ่าย!

โรงเรียนอินเตอร์ยังโตต่อ! ยักษ์การศึกษา “Learn Corporation” เปิดโรงเรียนใหม่ เน้นส่งเด็กเข้าหลักสูตรอินเตอร์ฯ-เรียนต่อต่างประเทศ ชี้ สอนท่องจำไม่ตอบโจทย์อีกแล้ว พ่อแม่สมัยนี้อยากต่อยอดภาษา-อาชีพในฝัน แม้เด็กเกิดใหม่น้อยลงแต่กลุ่มตลาดบนยังทุ่มไม่อั้น

.

งานวิจัยแทบทุกแห่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการศึกษาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะนี้ธุรกิจโรงเรียนอินเตอร์ หรือ “โรงเรียนนานาชาติ” ยังมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางโรงเรียนไทยทั้งรัฐและเอกชนที่มีจำนวนเด็กนักเรียนน้อยลงทุกปี แม้ว่า สาเหตุหลักจะมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงจนหน้าใจหาย แต่ขณะเดียวกันก็พบว่า “เด็กอินเตอร์เกิดใหม่” กลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ “SCBEIC” เคยระบุไว้ว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพชั้นนอกและเขตปริมณฑลพบว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 ถึง ปี 2566) มีโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นราวๆ 5% ต่อปี ทั้งยังมีกลุ่มประเทศ “CLMV” รวมถึงคนจีนให้ความสนใจ-หนุนการเติบโตไปพร้อมกันด้วย

.

สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจการศึกษา-กวดวิชาในไทยที่มีการปรับตัวไปตามความต้องการของผู้ปกครองและเด็กๆ ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำเกรดในโรงเรียนเหมือนเดิมอีกแล้ว

สุธี อัศววิมล” หรือ “พี่โหน่ง ออนดีมานด์” เจ้าของสถาบันกวดวิชาออนดีมานด์ (On-demand) และกรรมการบริหาร บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บอกว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มเลิร์นได้เข้ามาบริหารโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนาด้วยเป้าหมายที่ต้องการผลักดันให้เด็กไทยเรียนต่อต่างประเทศด้วยราคาที่สมเหตุสมผล จากเดิมหลักสูตรอินเตอร์สนนค่าเล่าเรียน 1 ล้านบาท/ปี ที่เลิร์นสาธิตพัฒนาจ่ายราวๆ 3-4 แสนบาท/ปี ทำให้ความฝันเรื่องการศึกษาที่ดีเข้าใกล้กลุ่มชนชั้นกลางได้ง่ายขึ้น

.

จากการบริหารโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา มาปีนี้กลุ่มเลิร์นตั้งโจทย์ใหม่ เปิด “Mastery School” โรงเรียนไทยยุคใหม่เน้นผลักดันเด็กๆ เรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับท็อปของไทย และ “Crest School” ใช้หลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากประเทศออสเตรเลีย สามารถเรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับท็อปได้ทั่วโลก

.

“สุธี” ให้ข้อมูลว่า การทำโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนามา 5-6 ปี ทำให้มั่นใจได้ว่า กลุ่มเลิร์นต้องการทำโรงเรียนแนว “Modern School” เพื่อเติมเต็มอีโคซิสเทมให้ครบถ้วน โดยทั้งสองแห่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง สะดวกต่อการเดินทาง ง่ายต่อการทำงานพาร์ทเนอร์ร่วมกับองค์กรใหญ่ๆ ที่มีความสามารถได้อีกมาก

.

แนวคิดการทำ “Modern School” อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย แต่สำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โรงเรียนลักษณะดังกล่าวมีมาพักใหญ่แล้ว อาทิ อังกฤษ สหรัฐ ฮ่องกง มี “Modern School” ตามตึกสูงและคอมมูนิตี้มอลล์เป็นจำนวนมาก ทั้ง 2 โรงเรียนเปิดรับเฉพาะนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มองว่า การศึกษาของเด็กโตจัดสรรได้ง่ายกว่าในเชิงพื้นที่

.

เพราะเด็กโตไม่ต้องมีสนามเด็กเล่นหรือใช้พื้นที่สันทนาการมากเท่ากับเด็กเล็ก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือกลุ่มเด็กมัธยมปลายต้องการวาง “Career track” หรือเส้นทางอาชีพให้ชัดเจน จึงเป็นที่มาว่า เพราะเหตุใดระดับชั้นมัธยมตอนปลายจึงเป็นจังหวะแรก

“คอนเซปต์ของ Modern School เหมือนโรงเรียนปกติทั่วไป เด็กๆ ต้องสแกนหน้าเมื่อเข้าหรือออกจากพื้นที่โรงเรียน จากนั้นระบบจะขึ้นแจ้งเตือนที่โทรศัพท์มือถือของผู้ปกครอง เราไม่ใช่โรงเรียนเปิด ไม่ใช่โรงเรียนทางเลือก แต่ถ้าพูดถึงความเข้มข้นของเส้นทางอาชีพเด็กๆ ตัวนี้จะเป็นความชำนาญพิเศษของบริษัทในเครือเลิร์น การทำ Modern School จึงเป็นจิกซอว์ถัดมา ซึ่งเรารวมเอาจิกซอว์เก่าๆ ที่เป็นความชำนาญของเลิร์นมารวมกัน เราไม่ได้กำลังทำเรื่องใหม่ เรากำลังต่อยอดสิ่งที่เราทำสำเร็จอยู่แล้วมาอยู่ในบริบทใหม่มากกว่า”

.

ด้าน “ณัชชา พลาพิภัทร” ผู้บริหารโรงเรียนระบุว่า การดูแลนักเรียนของฝั่ง “Crest School” จะแบ่งหลักสูตรเป็น 4 แผนการเรียน ตามความสนใจของเด็กๆ ได้แก่ 1. สายแพทย์ 2. สายวิศวกรรม 3. สายบริหารธุรกิจ และ 4. สายสังคม

.

เนื่องจาก “Crest School” เน้นการส่งเด็กเรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลก จึงให้ความสำคัญที่การทำคะแนนสอบให้ถึงเกณฑ์ตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ ช่วยเด็กๆ ปั้นพอร์ตโฟลิโอแบบตัวต่อตัว รวมถึงการเตรียมใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยทีมครูที่จะเข้ามาประกบมาจากทีมผู้สอนของ “Ignite by On-demand” และ “EduSmith” สถาบันกวดวิชาในเครือเลิร์นที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

.

ส่วน “Mastery School” จะเป็นโรงเรียนไทยยุคใหม่ที่ไม่เน้นท่องจำ สอนแบบตรงประเด็น นำไปใช้ได้จริง มีความรู้ด้านวิชาชีพที่เด็กๆ สนใจ ความพิเศษของแผนการสอนที่นี่จะดีไซน์หลักสูตรออกมาแบบ “2+1” คือเรียนจบมัธยมปลายได้ภายใน 2 ปี ส่วนอีก 1 ปีที่เหลือใช้สำหรับการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อลดเวลาทำการบ้าน จัดสัดส่วนการเรียนรู้เท่าที่จำเป็น ใช้เวลา 1 ปีที่เหลือสำหรับค้นหาตัวตนและความชอบ

.

ทั้งนี้ “Mastery School” มีทั้งหมด 3 แผนการเรียน ได้แก่ 1. สายแพทย์ 2. สายวิศวกรรม และ 3. สายบริหารธุรกิจ สิ่งที่จะได้รับ คือการเตรียมตัวสอบ ทำข้อสอบ และได้ลงมือทำจริงในสายอาชีพ

.

อย่าไรก็ตาม “สาธร อุพันวัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ขณะนี้แนวโน้มการเรียนภาคภาษาอังกฤษทั้งในไทยและประเทศรอบข้างเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่า อัตราการเกิดของเด็กไทยจะลดลง ส่งผลให้โรงเรียนไทยแบบเดิมได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันก็พบว่า อัตราความต้องการการเรียนระดับชั้นมัธยมยังสูง โดยเฉพาะการเรียนในภาคภาษาอังกฤษหรือ “ภาคอินเตอร์” ที่โตแบบ “Double Digits” มาตลอดหลายปี

.

สอดคล้องความเห็นจาก “สุธี” หรือ “พี่โหน่ง” ที่ระบุว่า ปัญหาการเรียนการสอนในไทยตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มไฮเอนด์ หรือตลาดบน และ 2. กลุ่มรากหญ้า พบว่า กลุ่มตลาดบนมีค่าใช้จ่ายต่อหัวของเด็กๆ ก่อนจบการศึกษาสูงกว่าเดิมเยอะมาก เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงเห็นโรงเรียนอินเตอร์-โรงเรียนนานาชาติเปิดเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่โรงเรียนเอกชนระดับกลางๆ ทยอยล้มหายตายจาก

.

ทางแก้ของเรื่องนี้ คือต้องผลักดันให้เกิดมาตรฐานการศึกษาที่ไม่แพงจนเกินไป ค่าเทอมเฉียดปีละล้านแม้แต่กลุ่มกลางค่อนบนก็อาจจะจ่ายไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ ส่วนกลุ่มรากหญ้าเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเด็กๆ กลุ่มนี้จะลงท้ายที่หลุดออกจากระบบการศึกษาและไปต่อไม่ได้

.

“อันต่อมา คือการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐต้องมีการ Reallocation ในเรื่องการวางระบบ เพื่อรองรับเด็กที่น้อยลงแต่ทำอย่างไรให้ใช้ทรัพยากรกับตัวเด็กๆ มากขึ้น ถึงแม้ตอนนี้เด็กจะเกิดน้อยลงแต่มีอีกปัญหาขึ้นมา คือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษากลางคันไม่ได้น้อยลงเลย เมื่อเทียบกับสมัยก่อนอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ จะทำอย่างไรไม่ให้เด็กหลุดออกจากระบบโรงเรียนก่อนเวลาอันควร เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก”

.

“พี่โหน่ง” ยังเสริมต่อด้วยว่า นอกจากความรู้ด้านวิชาการ ทีมเลิร์นยังเพิ่มส่วนที่ไม่ค่อยได้เห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่เข้ามาด้วย นั่นคือวิชา “Symphony of Life” หรือทักษะชีวิตที่จำเป็น เช่น การจัดเวลา การวางแผนทางการเงิน วิชาดีลกับคน วิชาดีลกับความเจ็บปวด ฯลฯ พวกนี้ไม่มีสอนในโรงเรียนแต่มีความจำเป็นกับการใช้ชีวิตอย่างมาก จบไปแล้วไม่ใช่แค่ติดสอบติดมหาวิทยาลัย แต่ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขด้วย

.

“เรามีวิชาชีวิตด้วย เรียกว่า “Symphony of Life” นัยคือองค์ประกอบของคนที่จะมีชีวิตที่ดีแล้วมีความสุขไม่ใช่การเล่นเครื่องดนตรีชิ้นเดียว ต้องเป็นเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่เล่นพร้อมกัน ส่วนหนึ่งของวิชาที่เราทำในหลักสูตรนี้ เช่น วิชาสุขภาพและอุบัติเหตุ หรือวิชาสุขภาพและความปลอดภัย สมมติถ้าเด็กๆ ยืนเบียดกันแล้วตกรางรถไฟฟ้าต้องทำอย่างไร ถ้าเด็กไม่รู้เขายืนตาค้างแน่ สิ่งที่ต้องทำจริงๆ คือมุดใต้ชานชาลา ตรงส่วนรางจะมีด้านข้างยื่นออกมาแล้วมุดเข้าไปได้ เรื่องพวกนี้เราต้องสอนเด็ก เป็นเรื่องที่เราวิจัยแล้วต้องเจาะให้เด็กๆ เราไม่มีกรอบมาก แต่ให้เด็กได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงๆ” 

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นีเวีย เปิดผลวิจัยระดับโลกชี้ ‘ความเหงา’ ภัยเงียบยุคใหม่ ชวนคนไทยช่วยกันดูแลใจ ภายใต้โครงการ NIVEA CONNECT

Reality Show เมืองไทย จะไปไกลทั่วโลก

ทุกความสำเร็จ เริ่มต้นที่..."ลงมือทำ"

SABUY เลิกถือหุ้นไขว้ บ.สบายฟูลฟิลเมนท์ ด้าน SBNEXT พ้นสถานะเป็น บ.ย่อย SABUY

”เอส“ เดินเกมส์ลุยปี 69 ส่งน้ำสีเรืองแสงเอาใจเจนซ่า