‘คมสันต์ ลี’ เริ่มรบครั้งใหม่ ในน่านน้ำ ‘ร้านสะดวกซื้อ’ ชี้ คนไทยแพ้ไปนานแล้ว เราแค่ไม่ยอมรับ


ราวๆ 3 เดือนที่แล้ว มีความเคลื่อนไหวที่เรียกว่า เป็น “บิ๊กมูฟ” ของวงการอาหารและเครื่องดื่ม เมื่อ มาม่า-ชานนท์ เรืองกฤตยา-คมสันต์ แซ่ลี ร่วมทุนตั้งบริษัทย่อยภายใต้อาณาจักรใหม่ในชื่อ “ไทยเพรซิเดนท์เบเวอร์เรจ” พร้อมกับเข้าซื้อหุ้น “CHAGEE ประเทศไทย” สร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดชาที่แข่งขันกันดุเดือดสุดๆ ในระยะหลังมานี้
.
นอกจากจะปักธงในธุรกิจชาจีน คมสันต์ได้จดทะเบียนจัดตั้ง “บริษัท แมด ยูนิคอร์น จำกัด” ชื่อเดียวกับซีรีส์ชื่อดังที่เล่าเรื่องราวกว่าจะมาเป็นเจ้าของอาณาจักร “Flash Express” ขนส่งยูนิคอร์นรายแรกของไทย พร้อมกับการเข้าไปอยู่บนแพลตฟอร์ม TikTok คล้ายกับการทำ “CEO Branding” ที่ผู้บริหาร Gen Z หลายคนเลือกทำเพื่อเข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ 
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทว่า เป็นความตั้งใจที่ “คมสันต์” มองข้ามช็อตไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า หรืออาจจะไกลถึง 10 ปีด้วยซ้ำ เจ้าของยูนิคอร์นสายฟ้าฟาดอัปเดตสถานการณ์ของ “Flash Express” บนเวที “THE SECRET SAUCE SUMMIT 2025” ว่า ทุกวันนี้ภาพรวมของ Flash Express ไม่ดีแต่ก็ไม่แย่จนเกินไป ยังเป็นธุรกิจที่มีความหวัง
.
ขณะเดียวกันก็เจอกับแรงกดดันจากผู้ส่งเยอะมาก เนื่องจากตอนนี้ “Flash Express” เหลือสัดส่วนชิ้นงานบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไม่ถึง 15% จากที่เคยมีรายย่อยใช้บริการค่อนข้างเยอะ กลายเป็นตอนนี้ขนส่งเจ้าใหญ่ที่ครองชิ้นงานบนแพลตฟอร์มมากที่สุดคือตัวแพลตฟอร์มเอง
.
และไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการเท่านั้น “คมสันต์” ฉายภาพใหญ่อีโคซิสเทมนี้ไปถึง “อินฟลูเอนเซอร์” ด้วยว่า ประเทศไทยใกล้จะเข้าสู่ยุคที่ “KOL” และ “อินฟลูเอนเซอร์” หายไป ถ้ายังไม่เปลี่ยน คุณค่าจะค่อยๆ หายไป ไม่ต่างอะไรกับลิงที่แสดงอยู่บนเวที
.
:: หมดยุคจับปลาบ่อคนอื่น อยากรอดต้อง “เลี้ยงปลาเอง” ::
ปี 2564 คนไทยได้รู้จักกับการซื้อของผ่าน “ไลฟ์คอมเมิร์ซ” (Live Commerce) เน้นสินค้าถูกสุดส่งตรงจากโรงงาน ผ่านไปไม่กี่ปีตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคของ “อินฟลูเอนเซอร์” คนตัดสินใจซื้อของจากรีวิวของกลุ่ม KOL
“คมสันต์” บอกว่า ถัดจากยุคนี้ไทยจะเข้าสู่เฟสถัดไป เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วกับประเทศจีน คือการถูกทดแทนด้วยเอไอทั้งหมด ฐานแฟนคลับ ค่าคอมมิชชัน รายได้ และคุณค่าที่สร้างมาจะทยอยหายไปเรื่อยๆ ปลาจะแห้ง ปลาจะหมดบ่อ และถึงคราวที่ต้องเลี้ยงปลาด้วยตัวเอง ไม่ใช่การไล่จับปลาในบ่ออื่นอีกแล้ว
.
อัลกอริทึมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กฎเกณฑ์ของแพลตฟอร์มก็เช่นกัน “คมสันต์” ไล่เรียงความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยุคที่ผู้บริโภคต้องการความเร็ว-คุ้ม มาถึงยุคที่ตัดสินใจจากอินฟลูเอนเซอร์ที่ตนเองเป็นผู้ติดตาม แม้ตัวอินฟลูฯ จะขายของได้เรื่อยๆ โกยค่าคอมมิชชันจากการขายสินค้า แต่อย่าลืมว่า สุดท้ายโปรดักต์เหล่านั้นก็จะวนอยู่ในลูปเดิมๆ ตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความหลากหลายมากขึ้น
.
วิธีการของแพลตฟอร์มในการสร้างตัวตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น คือการพึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ในการหากลุ่มผู้บริโภคมาเสิร์ฟ สถานะของอินฟลูเอนเซอร์จึงเป็น “ตัวแทนขาย” ไม่ใช่ “เจ้าของแบรนด์” เปรียบเทียบกับภาพที่ธุรกิจขนส่งกำลังเจอขณะนี้ ตัวกลางกำลังถูกลดทอนความสำคัญลงไป ในวันที่แพลตฟอร์มลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเอง เข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง เพราะกลุ่มเป้าหมายเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเรียบร้อยแล้ว
.
ทางรอดของ “อินฟลูเอนเซอร์” หรือแม้กระทั่งคนที่หารายได้จากการเป็นตัวกลางบนแพลตฟอร์ม คือการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง สื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า เราคือใคร
.
ย้ำว่า ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงภายใน 2-3 ปีข้างหน้า คุณค่าของคนกลุ่มนี้จะหายไป ค่าแรงน้อยลงเรื่อยๆ ค่า Incentive ที่เคยได้ก็ลดลงเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับ “ลิง” ที่แสดงอยู่บนเวที เพราะเวทีนั้นไม่ใช่ของเรา ผู้ชมด้านล่างไม่ได้ติดการแสดงของลิงแต่ติดกับเวทีต่างหาก
.
“ตอนนี้แพลตฟอร์มที่กำลังมา ยกตัวอย่างเช่น TikTok หรือ Meituan ขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นๆ ได้ เพราะใช้วิธีจับ Eyeball ของคนก่อน เขามียูสเซอร์จำนวนมากในจีน และยูสเซอร์เหล่านั้นใช้เวลากับเขามากที่สุด หลังจากได้ Eyeball มาแล้ว คือเอาบริการต่างๆ เข้าไป วันนี้ TikTok ทำได้ง่ายๆ เพราะยูสเซอร์อยู่ในแพลตฟอร์มอยู่แล้ว และแพลตฟอร์มพวกนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าเรายังไปยึดติดกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง คุณค่าก็จะไม่มี เราจะเป็นแค่คนแสดงแต่ไม่มีคุณค่าอะไรตรงนั้นเลย”
.
:: อยากมีอุตสาหกรรมของตัวเอง ต้องยอมเป็น “สะพาน” ::
ธุรกิจที่ “คมสันต์” ดับเครื่องชนหลังจากนี้ไม่ใช่แค่อาหารและเครื่องดื่ม ระบุว่า มีแผนจะปั้นให้ครบ 100 แบรนด์ โดยมี “CHAGEE” เป็นแบรนด์แรก หลังจากนี้ “แมด ยูนิคอร์น” มีภารกิจหลักๆ 3 เรื่อง คือนำเข้า ส่งออก และพัฒนาแบรนด์ มุมมองของคมสันต์ คือการเรียนรู้ Knowhow และเทคโนโลยีจากต่างชาติให้ได้มากที่สุด เพราะอีก 99 แบรนด์ที่เราจะได้เห็นถัดจากนี้ เป็นการนำเข้าธุรกิจต่างชาติเข้ามาปักหลักที่ไทย
“คมสันต์” มองว่า จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ต้องเริ่มจากนำเข้าเทคโนโลยี แม้เราจะบอกว่า ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรถึงพร้อมทุกอย่าง แต่สิ่งที่ยังขาด คือบ้านเราเป็น “ผู้ใช้” มากกว่า “ผู้สร้าง” จะเปลี่ยนแปลงแลนด์สเคปได้ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ภาพที่คมสันต์มองไม่เพียงเป็นพื้นที่ในการบริโภคภายในแต่ไทยต้องส่งออกไปทั่วโลกด้วย ขณะเดียวกันทุกคนที่ได้เข้ามาอยู่ในลูปจะได้เรียนรู้ “Knowhow” ทั้งหมดของประเทศต้นทาง และท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้ก็จะออกไปสร้างแบรนด์ของตัวเองได้
.
“ถ้าจะบอกว่า คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก จริงๆ เราแพ้ไปนานแล้ว เราแค่ไม่ยอมรับ ประเทศจีนเดิมทีไม่มีอุตสาหกรรมมือถือเลย เขายอมให้ iPhone กับ Samsung เข้ามาผลิต จนทุกวันนี้มี Huawei มี Xiaomi มี Oppo ของตัวเอง จีนไม่เคยมีค่ายรถยนต์ของตัวเองเลย เขายอมให้ Tesla เข้ามา ให้ Toyota เข้ามา จนวันนี้มีรถยนต์อีกหลายยี่ห้อไปทั่วโลก ดังนั้นสิ่งที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ คือการนำเข้าเทคโนโลยี ไม่มีประเทศไหนอยากส่งเทคโนโลยีมาให้คุณแล้วเป็นคู่แข่งกับเขา มีวิธีเดียวคือเขาต้องได้ประโยชน์จากประเทศคุณ”
.
“คมสันต์” ระบุว่า จีนมองไทยเป็นจุดหมายปลายทางในการลงทุนเพราะไม่มีที่ไป ในประเทศไม่เหลือพื้นที่ให้แข่งขันอีกแล้ว นอกประเทศอย่าง “ยุโรป” และ “สหรัฐ” ก็ต้องเจอกับปัญหาทางการเมืองและการกีดกันทางการค้า ดังนั้น “ไทย” จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเราได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและเรียนรู้ การแข่งขันกับจีนตรงๆ ยากเกินไป มีแต่จะให้ความร่วมมือ และมองเป็นพาร์ทเนอร์มากกว่าคู่แข่ง
.
ทั้งนี้วิธีการคัดเลือกแบรนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในของพอร์ตโฟลิโอของ “แมด ยูนิคอร์น” ต้องสอบผ่านโจทย์หลัก 2 ข้อ
1. ต้องเคยผ่านวิกฤติในวงจรธุรกิจ เติบโตจนเป็นตัวท็อประดับประเทศ เป็นหัวแถวที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าอันดับที่ 2 และ 3 รวมกัน
2. ต้องผ่านวิกฤติโควิด-19 มาได้ บวกกับต้องเป็น “ที่สุด” ในตลาด ถ้าไม่เป็นเบอร์ต้นก็ต้องแมสจนเข้าถึงคนได้แทบทุกกลุ่ม 
.
“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากพูดมาก คือคุณอยากแพ้ระยะยาวหรือแพ้ระยะสั้น ผมคิดว่า ระยะสั้นแพ้แน่ๆ แต่ระยะยาวเราชนะแน่ๆ เพราะนี่คือประเทศไทย ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน ใหญ่แค่ไหน เข้ามาในเมืองไทยสุดท้ายเขาต้องทำธุรกิจกับคนไทยอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องอยู่กับผู้บริโภคคนไทยอยู่ดี ถ้าเขามาแค่กอบโกย ไม่สร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่สร้างนวัตกรรมให้คนไทยได้เรียนรู้หรือไม่ทำให้ผู้บริโภคคนไทยได้ประโยชน์ ผมไม่เชื่อหรอกว่า เราจะให้เขาอยู่ต่อได้”
.
:: แกะ Pain Point รอบตัวให้ออก เป็นคนเดิมไม่ได้ ทุกอุตสาหกรรมจะถูกแทรกซึม ::
เจ้าของ “Flash Express” ชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการต้องหาโอกาสสอดแทรกตัวเข้าไปในตลาด ปลายทางเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ต้นทางอาจจะเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กหรือความต้องการที่เล็กมากๆ แก้ “Pain Point” หรือความต้องการเหล่านั้นแล้วค่อยไปสู่ความต้องการที่ใหญ่ขึ้น
.
“คมสันต์” ยกตัวอย่างปัญหาตาแห้งของตัวเอง น้ำยาหยอดตาทั่วๆ ไปที่เคยใช้ติดปัญหาเรื่องเเลอะมือ จึงอยากได้สินค้าที่ไม่ต้องพ่นเข้าไปในลูกตา ใช้จากภายนอกก็แก้ปัญหาได้ ความหมายก็คือจริงๆ แล้วรอบตัวยังมี Pain Point เต็มไปหมด เริ่มจากจุดเล็กๆ ของคนกลุ่มหนึ่งแล้วค่อยขยายวงกว้าง ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องทำโรงงานเองเสมอไป แต่ก่อนผู้ประกอบการอาจมองภาพของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต้องมีตลาดใหญ่พอที่จะเข้าไปชิงส่วนแบ่ง ทว่า ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว
.
วิธีการลองตลาดก็เปลี่ยน “คมสันต์” บอกว่า กระบวนการกว่าจะออกมาเป็นสินค้าหนึ่งชนิดแบบดั้งเดิม ต้องไปลองสินค้ามาให้มากที่สุด ถ้าเป็นของกินต้องตระเวนชิมมาให้ครบที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเลือกมาแค่ 1-2 อย่าง อัดงบการตลาดให้มาก และทำให้สินค้าติดตลาด
.
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน “คมสันต์” เลือกนำเข้ามาครั้งละมากๆ 300-400 SKU แล้วโยนเข้าไปในตลาด ไม่ทำโฆษณาอะไรทั้งสิ้น แล้วดูว่า โปรดักต์ไหนที่มีคนกลับมาซื้อซ้ำมากที่สุดค่อยหยิบมาพัฒนาต่อ ทั้งรสชาติ แพ็กเกจจิ้ง และการตั้งราคา
.
“ถ้าเป็นวิธีการเดิมตั้งแต่เริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุดใช้เวลา 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ถึงจะพิสูจน์ได้ว่า สินค้าตัวนี้อยู่รอดหรือไม่ แต่ถ้าเป็นวิธีที่ผมบอกโอกาส 99% ของคุณ คือสิ่งที่เข้ามาขายไม่ได้เลย แต่ถ้ามีแค่หนึ่งตัวที่ขายได้ มันจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ฮอตมาก และมียอดขายมากกว่า 99 แบรนด์ทั้งหมดที่คุณนำเข้ามา คำว่าทำแบรนด์คือทำที่ทำอยู่ทุกวันนี้ให้ลึกขึ้น ส่วนที่ยังไม่มีให้เริ่มจากโปรดักต์ก่อน ติดตลาดแล้วค่อยสร้าง”
.
ทั้งนี้ “คมสันต์” ยังแง้มความสนใจ 1 ใน 100 แบรนด์ด้วยว่า เขามองเห็นปัญหาการนำสินค้าเข้าไปอยู่บนชั้นวางโมเดิร์นเทรดที่ต้องโดนเก็บค่า GP มีต้นทุนโลจิสติกส์ จ่ายค่าการตลาด คุณค่าที่ส่งไปถึงผู้บริโภคจริงๆ เหลือไม่ถึง 25% ไม่รู้ว่า ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ แต่อยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ระบุว่า มีความสนใจอยากทำร้านสะดวกซื้อ โลกเปลี่ยนไปแล้ว ซัพพลายเชนเปลี่ยน ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
.
ผู้บริโภคทุกวันนี้ไม่ได้แบ่งจากเพศ อายุ การศึกษา แต่เซกเมนต์จากความชอบของกลุ่มเล็กๆ หลายๆ กลุ่มรวมกัน แบรนด์เล็กต้องตอบโจทย์คนบางกลุ่ม เหมือนกับ “Pop Mart” ที่เริ่มจากกลุ่มเด็กๆ จนพัฒนาไปเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ โดยนอกจาก “ร้านสะดวกซื้อ” ในอนาคต ธุรกิจที่ “คมสันต์” วางแผนจะทำในปีนี้ คือธุรกิจ “IP Card” ภายใต้ความตั้งใจที่อยากหาสินค้าดีๆ ของไทยไปบุกตลาดโลก
.
“จากวันนี้เป็นต้นไปภายใน 10 ปี ทุกอุตสาหกรรมจะถูกแทรกซึม วันนี้ผมกำลังนำพาข่าวร้ายมาให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอินฟลูเอนเซอร์ แพลตฟอร์ม การบุกของแบรนด์จีน และในอุตสาหกรรมทุกๆ อุตสาหกรรมที่ต่างชาติจะเข้ามาในไทย เรารู้ตั้งแต่วันนี้ เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ ผมเชื่อว่า พวกเราทำได้ คุณจะเป็นคนเดิมไม่ได้อีกต่อไป ต้องดึง DNA ผู้ประกอบการออกมาให้เน้น ให้หนักมากกว่านี้”

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นีเวีย เปิดผลวิจัยระดับโลกชี้ ‘ความเหงา’ ภัยเงียบยุคใหม่ ชวนคนไทยช่วยกันดูแลใจ ภายใต้โครงการ NIVEA CONNECT

Reality Show เมืองไทย จะไปไกลทั่วโลก

ทุกความสำเร็จ เริ่มต้นที่..."ลงมือทำ"

”เอส“ เดินเกมส์ลุยปี 69 ส่งน้ำสีเรืองแสงเอาใจเจนซ่า

EMILY’S หมี่ไก่ฉีก มีลุ้นแตะ ‘500 ล้าน’ ขายได้เดือนละ 1 ล้านกล่อง เตรียมบุกต่างประเทศด้วย