กรณีศึกษา MK ปีแห่งก้าวที่กล้าเปลี่ยน ทลายกรอบการตลาด 63 ปี

ปี 2568 เป็นปีแห่งการพลิกกระบวนท่าของยักษ์ใหญ่ธุรกิจร้านอาหาร “เอ็มเค เรสโตรองต์” ฟังเสียงผู้บริโภค เพื่อลุยบุฟเฟต์ แก้ปม “ราคา” เสิร์ฟเป็ดไม่อั้น รับตลาดแข่งเดือด
.
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ชื่อแบรนด์ “เอ็มเค” แบรนด์สุกี้ภายใต้อาณาจักรหมื่นล้านอย่างบริษัทเอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ถูกกล่าวขานถึงแทบทุกวัน เพราะแบรนด์ได้ปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่ เดินหน้าทำกิจกรรม และสื่อสารการตลาดมากมาย
.
เปลี่ยนชื่อ MK สู่ “MongKol” ต้อนรับตรุษจีน การชิมลาง “บุฟเฟต์” ภายใต้ MK ในห้างโมเดิร์นเทรด การแตกแบรนด์ใหม่ในรอบหลายปีมี “BONUS SUKI” ลงสนามอย่างเป็นทางการ พลิกโฉม MK Gold สู่ MK BUFFET นำร่อง 8 สาขา การเสิร์ฟ “เป็ดย่าง” แบบไม่อั้น เป็นต้น
.
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ “เอ็มเค เรสโตรองต์” คิดวางแผนไว้หมดแล้ว โดยแม่ทัพ-ทีมงานการตลาด แต่สิ่งที่ต้องทลายคือ “ความกล้า” ที่มาพร้อมๆกับ “ความกลัว”
ในงาน MKTCON2025 หัวข้อ Marketing Trends : Content & Communication มีกูรูการตลาด ครีเอทีฟ มาแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจ และกรณีศึกษาของ MK ยังคงถูกหยิบยกมาเล่าโดย ดมิสาฐ์ องค์ศิริวัฒนา ผู้ร่วมก่อตั้ง และแม่ทัพฝ่ายสร้างสรรค์(CCO)แห่ง Sour Bangkok ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ “มงคลเปิดประตูให้เปี๊ยกหน่อย” กับการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ MK สู่ MongKol
ยุคนี้มีคอนเทนต์ท่วมท้นให้ผู้บริโภคเสพ ครีเอทีฟ เอเยนซี ต้องคิดงานหัวแตกกว่าเดิม เพื่อขายงานให้ลูกค้า “ซื้อ”
.
ย้อนจุดสตาร์ทช่วงตรุษจีน ถือเป็นนาทีทองในการกวาดยอดขายอีกช่วงของปี เพราะผู้บริโภคยินดีใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 30% ยังเป็นเวลาของ “มงคล” ครองตลาด อะไรๆก็มงคล ทั้งส้มมงคล เสื้อสีมงคล ไอศกรีมมงคล พิซซ่ามงคล เป็ดก็มงคล
.
MK มีรากฐานยาวนาน 63 ปี และแบรนด์ ไม่มีกระแสนานมาก จึงตัดสินใจเล่นใหญ่ โดยไม่อาศัยพลังของ นักแสดง ดารา หรือภาพยนตร์โฆษณา แต่ใช้ความกล้าที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยการใช้หน้าร้าน และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น “มงคล” เป็นการทำสิ่งแปลกใหม่ แหวก CI หรืออัตลักษณ์แบรนด์ (Corporate Identity) และมงคลตะโกนออกมาให้ผู้บริโภครับรู้
.
“สำคัญมากกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะยุคที่แบรนด์แข่งขันกันตะโกน ขายของ การขายสินค้าที่มี herritage มีความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิด conversion ง่ายกว่างานบางประเภท และแบรนด์คือต้นทุนอย่างหนึ่ง”
การทำงานร่วมกับลูกค้า ทีมการตลาด MK มีโจทย์อยู่แล้ว คือต้องการ “เปลี่ยนแปลง” โดยตั้งธงจากแคมเปญตรุษจีน เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ครีเอทีฟ เอเยนซี SOUR Bangkok ต้องครีเอทไอเดียให้ว้าว! และตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
.
5 แนวทางที่นำเสนอลูกค้า โดยเริ่มจาก “สิ่งที่ต้องอาศัยความกล้ามากสุด” ลดหลั่นลงไปจนถึงส่วนที่เรียบง่ายสุด คือเปลี่ยนชื่อ หมี่หยกเมตร โปรโมชันให้คนชื่อเปี๊ยกทานอาหารที่ร้าน จนถึงการรวมชื่อญาติ
.
MK เป็นแบรนด์ร้านอาหารที่มีความแข็งแกร่งมาก ขยับตัวท่าไหน มักถูกจับจ้องและผู้คนเฝ้าวิเคราะห์กระบวนท่า หากไม่ใช่ MK โปรเจคนี้อาจไม่เกิด
.
“ต้องยกเครดิตให้ฝ่ายการตลาดของ MK ที่มีความตั้งอยากเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราขายจากสิ่งที่กล้าสุดไปสู่สิ่งที่เรียบร้อยสุด ซึ่งสิ่งที่หารือกับลูกค้า ถ้ากล้าหาญเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้นเกิดกระแสแน่นอน ควรเลือกโปรเจคนี้รับตรุษจีน เล่นกับกระแสการเปลี่ยนชื่อสู่มงคล จนสร้างไวรัล ซึ่งถ้าไม่ใช่ MK เราไม่ขายไอเดียนี้ เพราะทำไปอาจไม่มีประโยชน์ เพราะผู้บริโภคจะไม่รู้จักชื่อ เปลี่ยนไปไม่มีคนรู้จัก แต่ MK แบรนด์แกร่งมาก ขยับตัวเล็กน้อย เกิดกระแสง่าย”
.
ด้านผลลัพธ์ ใน 7 วัน MK โกยยอดขายเติบโต 20% ผลของการแสดงโฆษณา(Impression)แบบออแกนิก 56 ล้านครั้ง ส่วนแบ่งเพิ่ม 1,448% โกยมูลค่าสื่อ 101 ล้านบาท เป็นต้น
.
“สิ่งที่ทำเกินเป้าหลายร้อยเปอร์เซนต์ เป็นแคมเปญที่มีความกล้าและความกลัว เพราะเป็นโปรเจคทดลอง ที่ใช้หน้าร้านเป็นมีเดีย”
.
สำหรับการพลิกกระบวนท่าของ MK ทุกอย่างเป็นแผนงาน กลยุทธ์ที่ฝ่ายการตลาดเตรียมไว้หมดแล้ว และสิ่งที่สร้างสรรค์ออกมาตอบสนองผู้บริโภค “ดมิสาฐ์” ย้ำว่าแบรนด์เก่าแก่ระดับตำนานได้ฟังเสียงของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทั้งเรื่อง “ราคา” ความต้องการบุฟเฟต์ ทานหมี่หยก ทานเป็ดย่าง หมูกรอบ ฯ ซึ่ง MK ได้ปรับตัวในการเสิร์ฟความอร่อยรูปแบบแตกต่างกันไป
.
“แบรนด์ลุกขึ้นมาฟังเสียงผู้บริโภคทั้งบ่น พูด ต้องการอะไร แบรนด์ตอบสนองเร็ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมและแผนการตลาดของ MK”
.
จากกรณีศึกษาของ MK ยังสะท้อนถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในยุคปัจจุบัน “ดมิสาฐ์” บอกว่า ที่ผ่านมา “Storytelling” เบ่งบาน แบรนด์เล่าเรื่องตัวเองเพื่อสร้างความผูกพันธ์ เชื่อมโยงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ยุคนี้ต้องต้องพลิกมาทำ Story Doing หรือลงมือทำสิ่งที่พร่ำบอกผู้บริโภคด้วย
.
เมื่อก่อนการทำแคมเปญสื่อสารการตลาด แบรนด์ทุ่มงบมหาศาล เพื่อทำชิ้นงานโฆษณาให้ยิ่งใหญ่ประหนึ่งเกิด BigBang ทว่า ยุคนี้วิธีเปลี่ยน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภค คนดูไม่เหมือนเดิม และมีหลากเซ็กเมนต์ ความสนใจจึงเปลี่ยนตาม แบรนด์จึงต้อง “ซอยย่อย” หรือมี Sub แคมเปญต่างๆ หากโยนลงโลกออนไลน์ไม่ปัง ต้องป้อนคอนเทนต์ใหม่ ฮิตติดลมบนต้อง Spin ต่อได้
.
“เมื่อก่อนทำหนังโฆษณาเรื่องละ 8 ล้านบาท ตอนนี้มีเอไอ การสื่อสาร หรือรังสรรค์หนังโฆษณาได้ถูกลง อาจทำให้มาก หว่านเนื้อหาให้ถี่ ตอนนี้ไม่มีแล้วทำ 1 ชิ้นต่อ 1 ผลงาน อย่างต่ำต้องมี 7-8 ชิ้น”
.
การสร้างแบรนด์ยังสำคัญ และแบรนด์ไม่ใช่แค่ออกมาเรียกร้องความสนใจรหรือ Attention สร้างการรับรู้อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องหาทางก่อเกิดการมีส่วนร่วม เอื้อให้ผู้บริโภคต้องการเกี่ยวข้องด้วย แม้กระทั่งการสร้างมีมต่างๆ ล้วนเป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และยังเป็นการ Co-Creation ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น Challenge สร้างมีม เป็นการดึงคนเข้ามา “ต่อยอดแคมเปญการสื่อสารการตลาด” และ “ลากไปสู่การซื้อสินค้า”
.
เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) ทรงพลัง มีบทบาท แต่การผสานกับมนุษย์(Human)สำคัญจึงต้อง Hybrid 2 ส่วนให้ลงตัว เพื่อให้การสร้างสรรค์ผลงานเร็วขึ้น
.
“เราต้องก้าวผ่านการแบ่งเอไอกับคน ไปสู่ AI Human Hybrid เอไอทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น แต่คนครีเอทีฟทำให้แบรนด์ของลูกค้าดียิ่งขึ้น AI Faster แต่ Human matter”

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นีเวีย เปิดผลวิจัยระดับโลกชี้ ‘ความเหงา’ ภัยเงียบยุคใหม่ ชวนคนไทยช่วยกันดูแลใจ ภายใต้โครงการ NIVEA CONNECT

Reality Show เมืองไทย จะไปไกลทั่วโลก

ทุกความสำเร็จ เริ่มต้นที่..."ลงมือทำ"

”เอส“ เดินเกมส์ลุยปี 69 ส่งน้ำสีเรืองแสงเอาใจเจนซ่า

EMILY’S หมี่ไก่ฉีก มีลุ้นแตะ ‘500 ล้าน’ ขายได้เดือนละ 1 ล้านกล่อง เตรียมบุกต่างประเทศด้วย