‘ซิสเท็มม่า’ จัดพอร์ตสินค้ารอบ 26 ปี กระตุ้นคนไทย ‘เปลี่ยนแปรง’ เร็วขึ้น
แปรงสีฟัน “ซิสเท็มมา” ทำตลาดในไทยมา 26 ปี ได้เดินหน้ายกเครื่องครั้งใหญ่ ปรับพอร์ตโฟลิโอสินค้าแบ่งกลุ่มตามไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น ตอบรับเจนเนอเรชันต่างๆ พร้อมผุดแปรงฟัน “เจนเอส”(GenS) อิงชื่อแบรนด์ Gen SYSTEMA
.
ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน มีสินค้าหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ไหมขัดฟัน สเปรย์ฉีดปาก ฯ ผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญแตกต่างกันไป
.
ทว่า ตลาดแปรงสีฟันมีความท้าทายอย่างหนึ่ง ผู้บริโภคชาวไทยกว่าจะ “เปลี่ยนแปรง” แต่ละที ต้องรอให้ “ขนแปรงบาน” หรือใช้งานแทบไม่ได้เสียก่อน
นายอลงกรณ์ จารุจารีต ผู้จัดการส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อินไซต์หนึ่งที่คนไทยเปลี่ยนแปรงช้าเกิดการจาก “ละเลยแปรงสีฟัน” ที่อยู่ในห้องน้ำ แปรงสีฟันไม่มีเครื่องหมายบอก “วันซื้อ” หรือหมดอายุ หรือใช้หมดเหมือนยาสีฟัน ทำให้ผู้บริโภคยืนหยัดใช้งานจนกว่าจะเสื่อมสภาพ เริ่มแปรงแล้วเจ็บ ขนแปรงแทงเหงือก ถึงค่อยเปลี่ยนแปรงได้
.
เมื่อโจทย์ใหญ่คือการทำให้ผู้บริโภคชาวไทย “เปลี่ยนแปรงเร็วขึ้น” เป็นทุก 3 เดือน ทำให้ที่ผ่านมา มีการควงพรีเซ็นเตอร์ “ต่อ ธนภพ” ชวนคนไทยเปลี่ยนแปรงกันเถอะ พร้อมชี้ให้ตระหนักถึงสุขอนามัยของแปรงฟันที่ใช้ หากทิ้งไว้นานจะมีเชื้อโรคสะสม เป็นต้น
.
“ทันตแพทยสภาแนะนำให้เปลี่ยนแปรงทุก 3 เดือน แต่ส่วนใหญ่กว่าจะเปลี่ยนแปรงใช้เวลานานกว่า 3 เดือน ผู้บริโภค เช่น คนสูงวัย จะรอให้แปรงบานก่อน ซึ่งบางทีกินเวลากว่า 5 เดือน เพราะแปรงที่วางไว้เกิดการละเลย จำไม่ได้ซื้อเมื่อไหร่ นำแปรงมาใช้เมื่อไหร่ ใช้เรื่อยๆเป็นสิ่งที่มองข้าม กระทั่งเห็นลักษณะแปรงเปลี่นน บิดเบี้ยว ขนแปรงบาน เลยเป็นปัจจัยทำให้ต้องเปลี่ยนแปรงแล้ว เป็นความคุ้นชิน”
.
ความต่างของการให้เปลี่ยนแปรง ยากเมื่อเทียบกับการใช้ยาสีฟัน เพราะเมื่อหมด อย่างไรเสียผู้บริโภคต้องซื้อหลอดใหม่มาใช้ วัฏจักรการซื้อยาสีฟันหลอกใหม่จึงเฉลี่ย 3 เดือน 2 หลอด และนั่นยังเป็นปัจจัยให้แบรนด์ “ทุ่มสรรพกำลัง” และงบประมาณทำการตลาดอย่างหนักหน่วงตลอดทั้งปี เทียบกับแปรงสีฟัน ที่ค่อนข้างเงียบๆ ส่วนใหญ่น้ำหนักการทำกิจกรรม แคมเปญตลาดจะมีช่วงต้นปี พอปลายปีจะแผ่วๆ
.
จากพฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนแปรงช้า เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น บางครั้งเปลี่ยนแปรงทุก 1 เดือนด้วย ภารกิจของ “ซิสเท็มม่า” จึงต้องงัดอาวุธตลาด กระตุ้นให้คนไทยต้องเปลี่ยนแปรงเร็วขึ้น เพราะหากทำได้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดแปรงสีฟันเติบโตขึ้นได้ในอนาคต
.
“อยากเห็นคนไทยเปลี่ยนแปรงบ่อยขึ้น เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ซิสเท็มม่าอยากเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม วินัยผู้บริโภค”
.
จึงเป็นที่มาของ “ซิสเท็มม่า” เขย่าพอร์ตโฟลิโอสินค้าในรอบ 26 ปี จัดกลุ่มให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ จากเดิมเป็นคลัสเตอร์ ผู้บริโภคอาจแยกใช้งานไม่ถูก หากประเมินผลตอบรับในปี 2569 อยู่ในทิศทางที่ดี จะโฟกัสรุกตลาดได้อย่างแม่นยำ
.
สำหรับแปรงสีฟัน “ซิสเท็มม่า” ที่แบ่งกลุ่มใหม่ครอบคลุมทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ ตัวอย่างเช่น แปรง Slim TEQ ทำให้สามารถขจัดคราบพลัคได้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับสายกิน หรือแปรงรุ่น OD.ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้จัดฟัน เป็นต้น
ในกาารทำตลาด บริษัทยังทุ่มงบราว 50 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรม สร้างสีสันเต็มที่ ล่าสุด ควงศิลปิน โบกี้ ไลอ้อน และวง PROXIE ปลุกกระแสให้วัยรุ่นในกลางสยามสแควร์มาเปลี่ยนแปรงกัน
.
“งบ 50 ล้านบาท ถือว่ามากเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ เพราะตลาดแปรงสีฟันไม่ค่อนมีอีเวนต์ใหญ่ ไม่ค่อยทำหนังโฆษณาหรือ TVC แต่ซิสเท็มม่าคือแปรงสีฟัน Gen S ต้องมี TVC และรองรับการรีลอนซ์สินค้าโฉมใหม่ เพราะวันนี้การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างเดียวไม่พอ แต่มองเป็นองค์รวมทั้งความงามหรือโฮลิสติก บิวตี มีลมหายใจสดชื่น”
.
สำหรับตลาดแปรงสีฟันมีมูลค่า 4,000 ล้านบาท มีการเติบโตราว 2-3% นานแล้วโดยแบ่งเซ็กเมนต์ พรีเมียมราคา 60 บาทขึ้นไป สัดส่วน 49% มีเดียมไม่เกิน 40 บาท สัดส่วน 41% และอีโคโนมีราคาไม่เกิน 15 บาท 10% ซึ่ง “ซิสเท็มม่า” เป็นเบอร์ 1 ในเซ็กเมนต์พรีเมียม ครองส่วนแบ่งตลาด 40%
.
“ตลาดแปรงสีฟันเติบโตค่อนข้างนิ่งหรือ stagnant ที่ 2-3% มานานแล้ว เพราะคนไทยไม่ตระหนักการเปลี่ยนแปรง และเทียบกับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค(FMCG)อื่น ถือว่าโตน้อย หากผลักดันด้วยแคมเปญการตลาด กระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนแปรงเร็วขึ้น ตลาดอาจมีมูฟเมนต์ดีขึ้น และเราอยากเห็นตลาดแปรงสีฟันเติบโต 4-5% การทำตลาดซิสเท็มม่าคาดหวังส่วนแบ่งตลาดแปรงสีฟันพรีเมียมเพิ่มเป็น 50% ในปัหน้าด้วย”
.
ปี 2568 เศรษฐกิจ กำลังซื้อเปราะบาง ส่งผลให้ตลาดแปรงสีฟันเริ่มเข้าโหมด “สงครามราคา” แบรนด์มีการจัดโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 มากขึ้น ห้างค้าปลีกขยายเวลาของโปรโมชันยาวนานกว่าเดิม
“การทำโปรโมชัน ลดราคา มีมานานแล้วในห้างค้าปลีก หากจับชีพจรจะเห็นลงลึกในรายการโปรโมชันมากขึ้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ผู้บริโภคประหยัดเงิน แบรนด์จึงทุ่มเงินทำตลาด เช่น ซื้อ 1 แถม 1 ปีนี้จะเห็นแรงขึ้น เพิ่มพีเรียดมากขึ้น ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจดีไม่ต้องทำโปรโมชัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็ทำ 1 แถม 1 ตลาดสินค้าจำเป็นอื่นๆก็ทำ ทั้งผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ซักผ้า ตอนนี้ลามมาแปรงสีฟัน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้