‘เมย์-วาสนา’ ออกมาทำ ‘BioActive’ เพราะสูญหนี้ร้อยล้าน! ตั้งเป้าอีก 5 ปี แตะ ‘2 หมื่นล้าน’
ชื่อของ “เมย์-วาสนา อินทะแสง” เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากข่าวใหญ่บนหน้าสื่อเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เธอไม่ใช่ดารานักแสดงในวงการ แต่คร่ำหวอดในธุรกิจอาหารเสริมแบบรับจ้างผลิต หรือ “OEM” มาเกือบสิบปี รายได้จากบริษัท “Revomed Group” ก็เข้าใกล้พันล้านมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่า เมื่อช่วงกลางปี 2568 ที่ผ่านมา “เมย์” ตัดสินใจออกมาเปิดหน้าปั้นแบรนด์ครั้งแรก โดยเจ้าตัวบอกว่า อาจมีลุ้นจบปีที่ “2,000 ล้านบาท”
.
เหตุผลที่ออกจาก “หลังบ้าน” มาทำธุรกิจ “หน้าบ้าน” แม้ว่า “Revomed Group” จะเติบโตต่อเนื่อง เป็นเพราะเธอไม่อยากจะยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกแล้ว ธุรกิจรับจ้างผลิตในปีที่ผ่านมามีหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเยอะมาก ส่งผลให้งบการเงินของ บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด ติดลบกว่า 78 ล้านบาท นับเป็นตัวเงินทั้งหมดจริงๆ สูงถึงหลักร้อยล้าน จึงคิดว่า ถ้าขายดีแล้วไม่ได้เงิน ก็ออกมาขายเองเลยดีกว่า
:: ซื้อ “BioActive” มาปั้นต่อ สร้างแบรนด์เองโตช้ากว่า เพราะเงินซื้อเวลาไม่ได้ ::
แท้จริงแล้ว “BioActive” เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีอายุยาวนาน 40 ปี มีนักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์อายุ 80 ปีเป็นผู้ปลุกปั้น แต่เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีธุรกิจหลายแกน โดยเฉพาะโปรดักต์ที่เกี่ยวข้องกับ “Colustrum” หรือหัวน้ำนมเข้มข้น นมผึ้ง นมแพะ อโวคาโด ฯลฯ ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักที่ทำเงินให้กับบริษัท ส่วน “BioActive” เป็นจังหวะที่เจ้าของเดิมไม่ได้เข้ามาทำการตลาดอย่างเต็มที่ ประกอบกับ “เมย์” มีความสัมพันธ์อันดีกับโรงงานที่นี่มานาน 9 ปี จึงได้จังหวะที่จะเข้าไปเจรจาขอซื้อมาทำเอง
.
อาหารเสริมระดับโลกที่ผู้บริโภคให้ความวางไว้ใจมีหลักๆ 3 ประเทศ ได้แก่ ออรเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ สิ่งที่สร้างไม่ได้ง่ายๆ ชั่วข้ามคืน คือ “Trustworthy” แม้ว่าตัวเธอเองจะทำธุรกิจรับจ้างผลิตอาหารเสริมเป็นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย แต่การสร้างแบรนด์ต้องใช้เวลาไม่น้อย “เมย์” บอกว่า เงินซื้อได้ทุกอย่างแต่ซื้อเวลาไม่ได้ จึงตัดสินใจซื้อหุ้น “BioActive” ที่นิวซีแลนด์ 55% เจ้าของเดิมถือ 45% ส่วนธุรกิจ BioActive ในไทย เป็นทีมของเมย์ถือหุ้น 100%
นอกจากเรื่องขายดีแต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ “เมย์” บอกว่า เป็นเพราะแบรนดิ้งของ “BioActive” อยู่ในสถานะ “Global Brand” ใช้เงินลงทุนสูง ใช้กระแสเงินสดขับเคลื่อนธุรกิจกว่า 500 ล้านบาท ต้องขยายกำลังการผลิต สั่งออกแบบเครื่องจักรใหม่ ทั้งยังมีแผนเพิ่มโรงงานอีก 1 แห่ง ระบุว่า โจทย์ค่อนข้างยากกว่าตัวอื่นๆ และมีเป้าหมายสูงสุดที่ใหญ่กว่า คือการไปให้ถึงระดับโลก
.
“จริงๆ กำไรเราดีมากมาตลอด แต่หนี้ที่เก็บไม่ได้มีประมาณ 7 เจ้าใหญ่ ไม่มีเจ้าไหนต่ำกว่า 10 ล้าน คงเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจตอนนั้น และหลายๆ แบรนด์ในตลาดออนไลน์ตอนนี้สถานการณ์น่ากลัวมาก เมย์โชคดีที่เข้ามาในจังหวะที่หลายคนกำลังจมน้ำ หลายแบรนด์กำลังไม่มีทิศทาง หลายแบรนด์ลงทุนไปก็ขาดทุน พอเราเข้ามาหลายแบรนด์เลิกทำเองแล้วมาขายจากการติด Affiliate Link สินค้าเราก็มี”
.
“เมย์” บอกว่า ส่วนที่อยากนำเสนอ คือบรรจุภัณฑ์แบบหลอดที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน ระดับโลกอาจมีบรรจุภัณฑ์อาหารเสริมรูปแบบหลอด แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะเดียวกันอยู่ดี ซึ่งทาง “BioActive” ไปจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ต้องการทำให้แตกต่างและเปลี่ยนพฤติกรรมของคนกิน ทั้งการพกหลอดติดตัวที่ให้ความสะดวกสบาย รสชาติที่ไม่ติดขม กินแทนของหวานก็ได้ ใช้เวลา 2 ปีกว่าๆ ถึงออกมาเป็นหลอดหลากสีแบบที่เราเห็นกัน
.
:: หมดยุคอาหารเสริม 10 บาท คนยอมจ่ายหลักพันเพราะอยากได้คุณภาพ ::
สถานการณ์ก่อนที่ “BioActive” จะเข้ามาทำตลาด ภาพรวมของธุรกิจอาหารเสริมบ้านเราเต็มไปด้วยโปรดักต์ “ไม่ตรงปก” เมย์เล่าให้ฟังว่า ราคาต่ำที่สุดที่เคยเห็นขายกันมีตั้งแต่ซองละ 9-10 บาท สุดท้ายขายไม่ออก ต้องโละสต๊อกทิ้ง เพราะของไม่มีคุณภาพตลาดอาหารเสริมจึงพังพินาศ ผลสะเทือนต่อมา คือผู้บริโภคไม่ไว้ใจ ไม่กล้าซื้อ รู้สึกว่า กินแล้วไม่เห็นผลอย่างที่เคลม คนขายก็ขายแพงไม่ได้ ต้องกดต้นทุน กดราคาสินค้า เมื่อเกิดเป็นวัฏจักรเช่นนี้จึงทำให้ธุรกิจอยู่ไม่ได้
.
ทั้งนี้ “เมย์” แชร์ให้ฟังว่า ในฐานะผู้ผลิต พบว่า มีมากถึง 80% ของแบรนด์ติดต่อมาด้วยโจทย์เดียวกัน คือต้องการตีตลาด TikTok และขอต้นทุนไม่เกิน 25% ขณะเดียวกันก็อยากได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งสิ่งที่เธอตอบกลับไป คืออะไรที่ไม่ตกปกโรงงานไม่ทำ ถ้าอยากได้ต้นทุนหลักสิบก็ทำให้ได้ในราคาหลักสิบ และเห็นผลลัพธ์ด้วยราคาหลักสิบเช่นกัน ระบุว่า ตลาดเมืองไทยยังมีช่องโหว่มากพอสมควร เขียนคำเคลมปริมาณสารสกัดที่ใส่ลงไปข้างกล่อง แต่ใส่เข้าไปจริงๆ กลับมีไม่ถึง แบรนด์ส่วนใหญ่ในไทยยังเป็นแบบนั้น
“ตลาดอาหารเสริมเขาฟ้องร้องกันเยอะ ประเภทที่หยิบเทรดมาร์กมาใช้แล้วไม่ได้ใช้จริง เรียกว่า หน้าไม่ตรงปก ซึ่ง 80% ของตลาดเป็นแบบนั้น แต่ต่างประเทศไม่เป็น ซึ่งเราไม่ทำอะไรที่ไม่ใช่ไดเรกชัน จะชัดเจนว่า ไม่ทำดีกว่า คุณก็ไปหาโรงงานที่ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการก็แล้วกัน อะไรที่ทำไม่ได้เราจะไม่ทำ”
.
แม้จะมีเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการกดต้นทุนโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากเพียงพอ แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มที่ยอมจ่ายเพื่อได้ของดีจริงๆ บางแบรนด์ขอตั้งราคาขายที่หลักพันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลักพัน มีอยู่ราวๆ 10% ของกลุ่มลูกค้าที่มาผลิตกับ “Revomed Group” ส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ยังเติบโตได้ดีในตลาด
.
ส่วนกลุ่มที่เน้น “ตีหัวเข้าบ้าน” ทุกวันนี้ทยอยตายไปหมดแล้ว โดยหลังจากมาปั้นแบรนด์ “BioActive” เมย์ก็อยากให้แบรนด์มีฐานแฟน มองโปรดักต์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ผ่านไปหลายปีก็ยังซื้อกินซื้อใช้
.
“เราไม่สามารถทำของดีในราคา 9 บาทให้เขากินได้ มันเป็นไปไม่ได้ สารสกัดตัวหนึ่งราคาหลักแสนหลักล้านต่อกิโลกรัม ถ้าจะเอานวัตกรรมระดับโลกมาใช้มันทำไม่ได้หรอก แค่แป้งอย่างเดียวยังไม่พอเลย มันก็จะเกิดภาวะที่คนขายทิ้ง โละทิ้ง ผลิตมาก็ขายไม่ได้เยอะมาก เกิดแบรนด์ที่ไม่ได้ไปต่อประมาณ 90% เราอยู่หลังบ้านเห็นแล้วว่า ทิศทางประเทศไทยเริ่มแย่แล้ว อันนี้คือสิ่งที่เมย์เจอ”
:: เตรียมขายใน 7-Eleven อยากเป็น Global Brand ภายใน 5 ปี ต้องทำได้ “20,000 ล้าน” ::
.
หลังเปิดตัวเข้าเดือนที่ห้า “BioActive” ทำยอดขาย ณ วันที่ 9 กันยายน 2568 ไปแล้ว “921 ล้านบาท” จากเป้าหมาย 1,500 ล้านบาทภายในสิ้นปี มียอดสั่งซื้อเข้ามาทั้งหมด 1.5 ล้านกล่อง เฉลี่ยขายไปแล้ว 15 ล้านหลอด “เมย์” บอกว่า สเตปต่อไปต้องการนำสินค้าเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) ในรูปแบบ “Single Tube” สนนราคาตั้งแต่หลอดละ 59 บาท 69 บาท และ 79 บาท
.
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายตอนนี้ยังโฟกัสที่อีคอมเมิร์ซเป็นหลัก “TikTok” ไม่ได้ทำแค่ยอดขาย แต่เป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภคด้วย มีเรื่องของเทรนด์และไวรัลคอนเทนต์ผสมผสานกัน สัดส่วนออนไลน์จึงอยู่ที่ 50% มองการเข้าไปขายบนออฟไลน์อีก 20% และอีก 30% เป็นแพลตฟอร์มอื่นๆ และอีกส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการทำงาน คือกลุ่มโรงพยาบาล เมย์บอกว่า ตอนนี้มีคุณหมอเรียกร้องมาเยอะมาก อยากให้มอง “BioActive” เป็น “Functional Drink” ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Medical Grade
.
ภาพของ “BioActive” หลังจากนี้ไม่หยุดแค่ในประเทศ มองไปถึงตลาด CLMV และสหรัฐ ซึ่งตอนนี้มีการติดต่อพูดคุยกับพาร์ทเนอร์ที่สหรัฐเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการทำกลยุทธ์ร่วมกัน ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จะขยายไปยังกลุ่มประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี และไตรมาสที่ 1 ปี 2569 จะเริ่มขยายไปยุโรป แบ่งสัดส่วนทำการตลาดแบบ “Localization” ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
พร้อมกับเป้าใหญ่ภายใน 5 ปี ด้วยผลประกอบการ “20,000 ล้านบาท” เมย์คาดว่า ในไทยน่าจะไปจบที่ “5,000 ล้านบาท” ได้ แต่สำหรับตลาดระดับโลกอยากให้ไปถึงหมื่นล้าน อยากเป็นธุรกิจของคนไทยที่ไปยืนบนเวทีโลกในเซกเมนต์ Health & Beauty ถ้าทำได้คงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้