เปิดข้อมูลค่ายเพลงไทย ที่มีรายได้ระดับร้อยล้าน
ตลาดเพลงไทยกำลังเข้าสู่ “ยุคเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง” จากธุรกิจขายเพลงสู่ธุรกิจคอนเทนต์เต็มรูปแบบ โดยมีแรงขับสำคัญจาก Digital Streaming ที่กลายเป็นหัวใจหลักของรายได้ในอุตสาหกรรม โดยตลาดเพลงไทยในปี 2023 มีมูลค่ากว่า 11,317 ล้านบาท เติบโตถึง 16% จากปีก่อนหน้า โดยกว่า 88% ของรายได้มาจากการสตรีมมิงออนไลน์ สะท้อนให้เห็นว่าค่ายเพลงต้องเร่งปรับตัวจากการเป็น “ผู้ผลิตเพลง” ไปสู่ “ผู้สร้างแบรนด์และคอนเทนต์” ผ่านการต่อยอดรายได้ในหลายมิติ ทั้งคอนเสิร์ต ไลฟ์คอนเทนต์ และแฟนคลับอีโคโนมี เพื่อยืนหยัดในสมรภูมิที่ไม่ได้แข่งกันแค่ “ยอดวิว” แต่คือ “ความยั่งยืนของแบรนด์และรายได้”
.
ในบรรดาค่ายเพลงที่ทำรายได้ระดับร้อยล้าน GMM MUSIC ยังคงยืนหนึ่งในฐานะผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยรายได้รวมกว่า 3,931.92 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 453.19 ล้านบาท ภายใต้การนำของ “ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” และยังมีเครือข่ายค่ายเพลงในสังกัดจำนวนมาก ซึ่งรวมพลังจากศิลปินคุณภาพอย่าง Cocktail, Tilly Birds และ Three Man Down ที่ขับเคลื่อนทั้งยอดสตรีม เพลงฮิต และคอนเสิร์ตขนาดใหญ่การขยายสู่คอนเทนต์มัลติเพลตฟอร์มยังช่วยให้ GMM MUSIC กลายเป็นต้นแบบของ “บ้านหลังใหญ่ของศิลปิน” ที่ครบวงจรที่สุดในวงการเพลงไทยปัจจุบัน
.
ขณะที่ Muzik Move ของ “วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี” สร้างรายได้ 565.75 ล้านบาท และกำไรเล็กน้อย 5.35 ล้านบาท แม้ผลกำไรไม่สูง แต่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ “เพลงคุณภาพ” และความเป็นแหล่งบ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ในตลาด Muzik Move มีค่ายเพลงในเครืออย่าง Boxx Music และ Me Records ซึ่งมีศิลปินอย่าง Serious Bacon และ อิ้งค์ วรันธร ที่ครองใจผู้ฟังได้หลากหลายช่วงวัย สะท้อนให้เห็นถึงพลังของแบรนด์และฐานแฟนเหนียวแน่นอย่างแท้จริง
.
ด้าน LOVEiS ENTERTAINMENT ที่นำโดย “เทพอาจ กวินอนันต์” สร้างรายได้ 483.59 ล้านบาท และกำไร 37.67 ล้านบาท จากศิลปินอย่าง นนท์ ธนนท์, Slapkiss และ Mean ซึ่งขับเคลื่อนความสำเร็จบนชาร์ตดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
LOVEiS ยังมีค่ายในเครือ เช่น HolyFox และ LOVEiS ENTERTAINMENT ที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปินอินดี้ร่วมสร้างสรรค์ ทำให้บริษัทสามารถยืนระหว่าง “เมนสตรีม” และ “อินดี้” ได้อย่างลงตัว สะท้อนจุดแข็งของการบริหารศิลปินหลากหลายแนวทางภายใต้ร่มเดียวกัน
.
ส่วน SONRAY MUSIC ของ “ทรงยศ สุขมากอนันต์” แม้เป็นค่ายน้องใหม่ แต่สามารถทำรายได้กว่า 252.78 ล้านบาท และกำไร 24.83 ล้านบาท ด้วยแนวทางที่เน้นคุณภาพและอัตลักษณ์ทางดนตรีอย่างแท้จริง โดยมีศิลปินอย่าง BUS เป็นตัวแทนของ “ตัวจริงสายดนตรี” ที่สร้างความต่างในตลาด
SONRAY MUSIC ยังเป็นค่ายในเครือของ TADA Entertainment ซึ่งช่วยต่อยอดทั้งระบบบริหารจัดการศิลปิน การโปรโมต และการเชื่อมโยงสู่คอนเทนต์อื่น ๆ อย่างครบวงจร
.
อีกค่ายที่น่าจับตาคือ XOXO Entertainment หรือชื่อบริษัทแม่ว่า ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น ภายใต้การบริหารของ “ชลากรณ์ ปัญญาโฉม” ที่แม้ขาดทุน 45.54 ล้านบาท จากรายได้ 238.98 ล้านบาท แต่กลับมีอิทธิพลสูงในกระแส T-Pop ด้วยศิลปินอย่าง 4EVE, ATLAS, WaII, JustmineNika และ ซึ่งสร้างฐานแฟนคลับระดับภูมิภาค
.
XOXO Entertainment เป็นค่ายในเครือของ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) จุดแข็งอยู่ที่ความสามารถในการสร้าง “แฟนคลับอีโคโนมี” ที่มีมูลค่าสูงในระยะยาว แม้ผลประกอบการยังไม่มีกำไร แต่ได้พิสูจน์แล้วว่าพลังของคอนเทนต์และชุมชนแฟนคลับคือ “สินทรัพย์อนาคต” ของธุรกิจเพลงยุคใหม่
.
ส่วน What The Duck ของ “ชิชญาสุ์ กรรณสูต” ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในสาย อินดี้-ป๊อป ด้วยรายได้ 236.52 ล้านบาท และกำไร 9.93 ล้านบาท จากศิลปินอย่าง The Toys, Bowkylion, Whal & Dolph และ Landokmai ซึ่งเป็นตัวแทนของศิลปินรุ่นใหม่ที่มีสไตล์เฉพาะตัว
What The Duck ยังมีค่ายในเครือและหน่วยงานสนับสนุนด้านโปรดักชันและการจัดการศิลปิน ที่ช่วยขับเคลื่อนการผลิตเพลงไวรัลได้อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในค่ายที่เข้าใจ “ภาษาดนตรีของยุคดิจิทัล” มากที่สุด
.
ในอีกฟากหนึ่ง iAM (Independent Artist Management) ของ “จิรัฐ บวรวัฒนะ” ผู้บริหารโปรเจกต์ BNK48 และ CGM48 มีรายได้ 227.12 ล้านบาท แต่ขาดทุนกว่า 37.1 ล้านบาท แม้เผชิญแรงกดดันจากต้นทุนบริหารศิลปินจำนวนมาก แต่ยังคงเป็นผู้เล่นหลักของโมเดล “แฟนคลับอีโคโนมี” ที่ขับเคลื่อนตลาดไอดอลในไทย และเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เกิดวงเกิร์ลกรุ๊ปยุคใหม่จำนวนมาก
.
ขณะที่ bROTHERS MUSIC ของ “เจษฎาภรณ์ ผลดี” ทำรายได้ 108.87 ล้านบาท แต่สร้างกำไรสูงถึง 26.28 ล้านบาท จากความสำเร็จของบอยกรุ๊ป PROXIE ที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างแม่นยำ แสดงให้เห็นถึงโมเดลการบริหารศิลปินแบบเฉพาะกลุ่มที่มีประสิทธิภาพสูง
.
ค่ายรุ่นเก๋าอย่าง SMALLROOM ของ “รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของสายอินดี้ไทย ด้วยรายได้ 205.06 ล้านบาท และกำไร 7.54 ล้านบาท จากศิลปินอย่าง Tattoo Colour, Polycat และ Greasy Cafe ที่ช่วยรักษากลิ่นอายความเป็น “ออริจินัลอินดี้” ท่ามกลางตลาดที่เปลี่ยนเร็ว
.
ปิดท้ายด้วย SPICY DISC ของ “พิชัย จิราธิวัฒน์” แม้จะขาดทุน 29.03 ล้านบาท จากรายได้ 147.47 ล้านบาท แต่ยังคงมีผลงานคุณภาพจากศิลปินอย่าง The Parkinson, Mild และ ว่าน ธนกฤต ซึ่งช่วยรักษาฐานแฟนเหนียวแน่น และต่อยอดอิทธิพลทางดนตรีในระยะยาวได้อย่างมั่นคง
.
อย่างไรก็ตาม สมรภูมิดิจิทัลที่ “ยอดวิว” ไม่ได้การันตี “กำไร” อีกต่อไป ค่ายเพลงไทยต้องปรับโครงสร้างธุรกิจจากการขายเพลงสู่การบริหาร “อีโคซิสเต็มแห่งคอนเทนต์” อย่างเต็มตัว ค่ายใหญ่อย่าง GMM MUSIC ใช้โมเดลครบวงจร ที่ครอบคลุมทั้งการผลิต คอนเสิร์ต และแพลตฟอร์มดิจิทัล
.
ขณะที่ค่ายรุ่นกลางอย่าง Muzik Move และ LOVEiS ใช้จุดแข็งด้าน “คุณภาพและภาพลักษณ์ศิลปิน” เพื่อสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน ส่วนค่ายน้องใหม่อย่าง SONRAY และ bROTHERS MUSIC แสดงให้เห็นว่า “ความเฉพาะทาง” และ “ความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย” คือกุญแจสำคัญในการเติบโตแบบมีกำไรในยุคที่ต้นทุนคอนเทนต์สูงขึ้น
.
ขณะเดียวกัน XOXO และ iAM สะท้อนความท้าทายของโมเดล “แฟนคลับอีโคโนมี” ที่แม้สร้างอิทธิพลและฐานผู้ติดตามจำนวนมาก แต่ยังต้องหาสมดุลระหว่าง “พลังของแฟน” กับ “ผลตอบแทนทางธุรกิจ”
.
ท้ายที่สุด การอยู่รอดของค่ายเพลงไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือยอดสตรีมเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ “ความสามารถในการสร้างแบรนด์ศิลปิน” ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ต่อยอดได้ในทุกช่องทาง
.
ที่มา : เว็บไซต์บริษัท , DBD , Set
#BusinessPlus
#ธุรกิจ
#TPOP
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้