ไมเนอร์เปิดร้านใหม่...‘Hey Gusto’ ขายอาหารอิตาเลียนพรีเมียม ซัพพอร์ทไลฟ์สไตล์ คนไทยเบื่อง่าย เปลี่ยนใจเร็ว


หมดยุคหมาล่า? ถึงคราวอาหารตะวันตกผงาด! “ไมเนอร์ฟู้ด” เปิดร้านใหม่ “Hey Gusto” ขายอาหารอิตาเลียนพรีเมียม ปักหมุดเซ็นทรัลเวิลด์สาขาแรก มองธุรกิจร้านอาหารแข่งขันสูง ต้องสร้างคอนเซปต์ใหม่ตอบโจทย์ลูกค้าเบื่อง่าย ส่วนภาพรวมทั้งเครือปีหน้าได้เห็น “The Steak & More” ขยายไปต่างจังหวัด
.
แม้จะมีแบรนด์เรือธงที่ทำเงินให้กับเครือไมเนอร์ฟู้ดได้เกิน 50% อย่าง The Pizza Company, Sizzler และ Swensen’s แต่ภาพรวมตลาดร้านอาหารทุกวันนี้หยุดนิ่งไม่ได้ ต้องสเกลสาขาแบรนด์เดิม และเพิ่มเติมแบรนด์ใหม่เข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากที่สุด “The Pizza Company” จัดอยู่ในหมวดหมู่อาหารอิตาเลียน แต่ไม่ใช่ในฐานะร้านพรีเมียม นั่นจึงเป็นที่มาของ “Hey Gusto” ร้านอาหารที่นิยามตัวเองเป็น “Italian Premium Dine-in Experience”
“อนุพนธ์ นิธิยานันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าที่มาที่ไปของการปลุกปั้น “Hey Gusto” ให้ฟังว่า ถ้าเปรียบเทียบอาหารโซนตะวันตกที่โดดเด่นในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยจะมีตั้งแต่อิตาเลียน ฝรั่งเศส และเยอรมัน กลุ่มอาหารอิตาเลียนเข้าถึงคนไทยได้ง่าย เพราะคุ้นเคยจากการกินพิซซ่าหรือพาสต้า แบรนด์ “The Pizza Company” ตีตลาดกลุ่มแมสไปแล้ว แต่อีกโอกาสที่ไมเนอร์ฟู้ดยังไม่เคยชิมลางคือกลุ่มอาหารอิตาเลียนพรีเมียม
.
จากการศึกษาตลาด พบว่า เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ มีร้านอาหารอิตาเลียนประเภท Fine Dining และ Casual Dining ราวๆ 400 แห่ง และยังคงมีร้านใหม่เปิดทำการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะไปกระจุกตัวแถบสีลม สุขุมวิท พระราม 4 ยิ่งตามซอกซอยเล็กๆ โซนสุขุมวิทจะมีร้านอาหารประเภทนี้เยอะมาก รสชาติดี มีความเป็นต้นตำรับ แต่ “Pain Point” ที่เจอ คือร้านเหล่านี้มักซ่อนตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยเล็กๆ แน่นอนว่าไม่มีที่จอดรถเพียงพอ ที่สำคัญ ความสดใหม่ของแบรนด์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกเดินเข้ามากิน
“Hey Gusto” ไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์จากต่างประเทศ แต่เป็นการหยิบยืมไอเดียของ “Vicletto Osteria” ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนในเครือไมเนอร์ฟู้ดที่ประเทศสิงคโปร์มาเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาคอนเซปต์ใหม่ มีการส่งเชฟไปเทรนนิ่งกับ “Vicletto Osteria” พร้อมกับดีไซน์องค์ประกอบทุกส่วนภายในร้านใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่าน ชาม เมนูต่างๆ รวมระยะเวลาทั้งหมด 6 เดือนเต็ม ก่อนจะออกมาเป็น “Hey Gusto” ที่ตั้งอยู่บนโลเคชันเดิมของ “Poulet” ร้านอาหารฝรั่งเศสในเครือไมเนอร์ฟู้ดที่ปัจจุบันถอนตัวออกจากตลาดประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว
.
“อนุพนธ์” มองว่า จุดแข็งของ “Hey Gusto” ที่แตกต่างจากร้านอาหารอิตาเลียนอื่นๆ ในท้องตลาด คือการสร้างแบรนดิ้งให้มีกลิ่นอายแบบโฮมคุกกิ้ง ต่อมาคือเมนูจานหลัก ร้านอื่นๆ หยิบพาสต้ามาเป็นตัวเปิด แต่ “Hey Gusto” อยากแตกต่าง จึงเลือก “บูราต้าชีส” เป็นไฮไลต์เด็ด พร้อมกับของหวานเมนูทิรามิสุทำสดใหม่ทุกวัน โดยใช้วิธีเสิร์ฟเหมือนกับร้าน Fine Dining ยกถาดทิรามิสุออกมาตัดแบ่งในจานลูกค้าให้เห็นกันแบบเรียลไทม์บนโต๊ะ
.
หลังจากเปิดให้บริการมา 1 เดือนเศษๆ ผู้บริหารบอกว่า ขายดีกว่าร้านเดิม 100% แต่ยังต้องดูกันยาวๆ อีก 6 เดือนจึงจะเริ่มมองเห็นลู่ทางในการขยายสาขา ยอมรับว่า ทุกวันนี้การแข่งขันในตลาดร้านอาหารสูงมาก แบรนด์ที่อยู่มานาน แข็งแรงในการทำสเกลได้เยอะๆ ยังแข็งแรงในตลาดต่างจังหวัด
.
แต่ขณะเดียวกันตลาดบนในกรุงเทพฯ ทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ได้ไหลไปตามภาวะเศรษฐกิจยังคงเบื่อง่าย เปลี่ยนเร็ว ต้องการของใหม่ตลอดเวลา เป็นที่มาว่า ทำไมไมเนอร์ฟู้ดต้องสร้างคอนเซปต์ใหม่ ประกอบกับเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกยุคนี้ หากสังเกตร้านค้าภายในศูนย์ก็จะพบว่า เต็มไปด้วยร้านใหม่ๆ แบรนด์ใหม่ หรือเจ้าตลาดเดิมแต่มาพร้อมคอนเซปต์ใหม่ เพราะผู้บริโภคไม่ต้องการความจำเจ “Hey Gusto” จะเข้ามาตอบโจทย์เทรนด์นี้ด้วย
เมื่อถามถึงความท้าทายที่มองเห็นในตลาด “อนุพนธ์” ชี้ว่า มีหลายเรื่อง ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปยังผู้บริโภค มีสาขาเดียวอาจจะทำการสื่อสารในระดับแมสไม่ได้ ต้องหาวิธีทำการตลาดที่มุ่งตรงไปยังกลุ่มลูกค้า เรื่องคุณภาพอาหารและความสม่ำเสมอของรสชาติก็เป็นอีกส่วนที่ต้องคำนึงถึง มีสาขาแรกและสาขาเดียวในโลกไม่ง่าย
.
โดยเฉพาะการบริการที่ร้านนี้ค่อนข้างแตกต่างจากร้านอื่นๆ ในเครือ คัดเลือกและเทรนนิ่งพนักงานอย่างน้อยๆ 3 เดือน มีผู้จัดการร้านที่ไม่ใช่คนไทยสาขาแรกในเครือ เพราะต้องการคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ต้องมีประสบการณ์ในร้านอาหาร Fine Dining มาก่อน ให้ความรู้เรื่องเส้นพาสต้าหรือแนะนำการจับคู่อาหารกับไวน์กับลูกค้าได้ เป็นต้น
.
“เหตุผลของการสร้างแบรนด์ขึ้นมาเพื่อเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอในกลุ่มพรีเมียม เราไม่ได้มีเซกเมนต์นี้ในพอร์ต เพราะฉะนั้น นี่จะเป็นการเข้าตลาดอย่างจริงจังครั้งแรก ข้อที่สองคือช่วยตอบโจทย์เรื่อง Expansion ในกลุ่มรีเทล วันนี้แบรนด์ของไมเนอร์ฟู้ด 500 สาขา อาจจะดูไม่เซ็กซี่ในสายตาของรีเทลเลอร์หรือพวกเราที่เดินห้างแล้วมองหาของใหม่ ถ้าผู้บริโภคอยากทานอาหารอิตาเลียนดีๆ สักอย่าง เราจะเป็นอีกตัวเลือกในแบรนด์ของไมเนอร์ฟู้ดได้”
.
ด้านภาพรวมของไมเนอร์ฟู้ดทั้งเครือ “อนุพนธ์” บอกว่า แบรนด์หลักๆ อย่าง The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler, Burger King และ Bonchon จะยังเดินหน้าขยายสาขาต่อไป รวมถึง “The Steak & More” แบรนด์น้องใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์หลักของไมเนอร์ฟู้ด จนถึงสิ้นปีนี้จะเปิดครบ 10 สาขาแล้ว ถือว่าเร็วมากสำหรับแบรนด์น้องใหม่ แง้มว่า ปีหน้าจะได้เห็น “The Steak & More” ไปต่างจังหวัดแล้ว ซึ่งก็น่าจับตามองต่อไปสำหรับตลาดสเต๊กแมสที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด
.
“ไมเนอร์เริ่มเปลี่ยน เรากลายเป็น Innovator เราพัฒนา The Steak & More ขึ้นมา เรามี Sandwich Society ที่พัฒนาแตกไลน์มาจาก Sizzler สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นคอนเซปต์ที่เราสร้างขึ้นมา และเดือนธันวาคมก็จะเห็นคอนเซปต์ใหม่อีกหนึ่งคอนเซปต์ ไมเนอร์ยังต้องการสเกลในระดับสากล เรามีความสามารถและระบบการจัดการซัพพลายเชนที่ส่งเสริมการเติบโตได้”

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นิรมน คนหน้าเย็น โฆษณาใหม่จาก แอร์ เอเชีย ใช้แอร์โฮสเตสจริง มาร้องเพลงโฆษณา

คะแนน ฟีฟ่า แร้งกิ้ง ของ ทีมชาติไทย จะอยู่ที่อันดับ 99 ของโลก

‘ปัญญ์ปุริ’ สานเป้าหมายแบรนด์โลก ลุยต่างประเทศ ทุ่ม 500 ล้าน เปิด 50 สาขา

‘ลุฟท์ฮันซ่า’ นำเครื่องบินใหญ่สุดของโลก แอร์บัส A380 คัมแบ็กให้บริการในไทย

“ศุภาลัย”ชูมิกซ์โปรดักส์ชิงดีมานด์แนวราบปักหมุดใจกลางเมืองภูเก็ต