มิติใหม่แห่งการเสพสื่อ เรื่องแบบนี้คุณต้องรู้

ถ้าใครทำธุรกิจ หรือทำงานด้านการตลาด
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ คือ 
ปัจจุบัน การใช้เวลาของคนเปลี่ยนไป
มิติของการ “เสพสื่อ” ก็เปลี่ยนไปด้วย
สมัยก่อน ทีวีเป็นสื่อที่กินเวลาของคนไปเยอะ
หลังเลิกงาน ทุกคนจับจ้องรอดูรายการโปรด 
วันนี้ “สื่อออนไลน์” มีหลากแพลตฟอร์ม
เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตคนมากขึ้นเรื่อยๆ 
จึงทำให้สินค้าและบริการ 
พยายาม “ยื้อแย่ง” เวลาในชีวิตของผู้บริโภค 
เพราะถ้าเข้าสู่ Customer Journey ของคนได้ 
โอกาส “ทำเงิน” จากผู้บริโภคย่อมมีตามมา
.
ทุกวันนี้ แต่ละปีเรามีงบโฆษณาสูงมาก
มีมูลค่าเกือบ “แสนล้านบาท” 
กระจายทั้ง “สื่อเก่า” และ “สื่อใหม่” 
ต่างหาทางช่วงชิงสายตาคนดู
ให้หยุดเวลาสนใจแบรนด์, คอนเทนท์ฉันบ้าง
เพราะถ้าทีวีมีเรตติ้งดี รายการไหนดังๆ 
ก็จะโกยเงินจากแบรนด์สินค้าได้ 
แต่กับสื่อออนไลน์ ตอนนี้เรื่องราวหลากหลาย 
ถ้ามีสักคอนเทนท์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายได้ 
การดูดเงินจากกระเป๋าผู้ซื้อย่อมเป็นสิ่งที่ตามมา
.
เมื่อสื่อแบ่งเป็น 2 ฝั่ง เก่าและใหม่ 
การแย่งเวลาของคนผู้บริโภคดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ 
ฝ่ายไหนโกยความสนใจได้มาก 
เม็ดเงินโฆษณาก็จะไหลเพิ่มตามสัดส่วน 
ถ้ามีผลต่อยอดขาย แบรนด์ก็ย่อมแฮปปี้ไปด้วย
.
ลองคิดมั๊ย ว่าวันนี้ สื่อไหนได้ใจคนดู?
ทุกคนจะบอกเลยว่า 
สื่อดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นทีวีดิจิทัล เคเบิ้ลทีวี 
ทีวีดาวเทียม
ยืนอยู่ระยะ “ขาลง” มาพักใหญ่แล้ว 
แถมช่องทีวียังมากขึ้น แย่งชิงกันสนั่นจอ
เพื่อเพิ่ม “เรตติ้ง” ให้มากขึ้น
จนเดี๋ยวนี้ รายการดังๆ เปลี่ยนช่องเป็นว่าเล่น
.
ตอนนี้ระบบเรตติ้ง ก็เริ่มมีปัญหา
กระจายไปแต่ละช่อง 
คนราวๆ หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านต้นๆ 
ตัวเลขแตะหลักสิบล้านเหมือนอดีตไม่มีแล้ว 
อย่างละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่ฮิตสุดๆ
เรทติ้งสูงสุด ราวๆ 17.4 เท่านั้น
แต่ถัวเฉลี่ย ราวๆ 10-15
.
เอ็ตด้า ระบุพฤติกรรมคนไทย
ว่าใช้เน็ตกันถล่มทลายจริงๆ 
ปี 2561 เวลาถึง 10 ชั่วโมง 5 นาทีต่อวัน
และสิ่งนี้แหล่ะ ที่ทำให้ Ratting TV ลดลง 
แพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ที่ใช้กันมาก 
หนีไม่พ้น Facebook, Youtube, Instagram,
Line, และ Line TV 
.
เมื่อผู้บริโภคดูสื่อออนไลน์มากขึ้น 
นักการตลาดก็ต้องโยกเงินไปใช้กับสื่อนี้
เม็ดเงินโฆษณา 10 เดือนที่ผ่านมา 
มีมูลค่า 72,222 ล้านบาท 
เป็นสื่อออนไลน์ 16.9% เพิ่มจากปีก่อน 14.3% 
.
สื่อดั้งเดิม อย่างทีวี เม็ดเงินจะลดลงเรื่อยๆ 
อยู่ที่ราวๆ 55.4% จากเดิมที่อยู่ราวๆ 65% 
หนังสือพิมพ์ อยู่ราวๆ 6.1% 
ส่วนที่เหลือนั้น จะย้ายไปอยู่สื่อออนไลน์
.
สื่ออนไลน์ที่ดูดเงินโฆษณาไปได้มากสุด
คือเฟซบุ๊ค ราวๆ 4,084 ล้านบาท 
เพราะคนไทยใช้เฟซบุ๊คกันมากเหลือเกิน 
แถมจุดแข็งของเฟซบุ๊ค
สามารถทำตลาดแบบเจาะกลุ่ม (Targeted) ได้อย่างแม่นยำ
จึงทำให้โกยงบโฆษณาไปได้อย่างสูงสุด
.
ยูทูป ได้เงินไป  2,105 ล้านบาท 
เพราะตอนนี้เราเสพวิดีโอออนไลน์
แบบเปิดทิ้งไว้ยาวๆ ฟังเพลง ฟังรายการโปรด
โดยไม่ต้องมานั่งจับเจ่าหน้าจอ 
ยิ่งคนรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่น Y และ Z 
ชอบใจกันมากกับแพลตฟอร์มนี้ราวๆ 99.6% และ 99.77% 
.
ส่วนในเรื่องของดิสเพลย์ การเสริซหาข้อมูล
ตอนนี้เริ่มมาแรงมาก โดยเฉพาะ LINE TV 
ที่หลังตั้งตัวเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอ
จับมือพันธมิตรผลิต Original Content ดึงคนดู 
ดึงรายการเด็ดมาออกอากาศซ้ำ(Re-run) 
หามิวสิควิดีโอมาเสริม ให้คนมาใช้เวลาได้ยาวๆ 
จุดนี้ถ้าแข็งแรงขึ้น คนดู เรตติ้งเพิ่ม 
ลูกค้าจะเข้ามาซื้อโฆษณาตามไปด้วย
.
นี่คือเรื่องน่าปวดหัวของคำทำทีวี
เพราะออนไลน์แย่งเวลาคนดูไปได้เสมอๆ
ตอนนี้ผู้ประกอบการแต่ละค่าย
ต้องพลิกเกมหาคอนเทนต์ดีๆ 
มาฉุดกระชากให้คนดูกลับไปเฝ้าหน้าจอให้ได้ 
เพราะไม่อย่างนั้นผลประกอบการกระเทือนแน่ๆ
.
ถามว่าแล้วปี 62 
แพลตฟอร์มออนไลน์ จะเป็นแบบไหน
บอกเลยต้องบอกว่า “ตีกันเละ!”
ผู้ผลิตทุกคนต้องรับฟัง เรื่องบนโลกออนไลน์
เพื่อให้รู้ว่าผู้บริโภคคุยอะไรกันบนโซเชียลมีเดีย
และยังต้อเรียนรู้ แอพลิเคชั่นใหม่ๆ ด้วย
เพราะยุคนี้ เราจับคนดูยากมาก
ทำให้เราต้องคอยจับเทรนด์
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
.
เทรนด์วิดีโอออนดีมานด์ สตรีมมิ่งจะมาแรง
Facebook จะให้ความสำคัญกับวิดีโอมากขึ้น
เพื่อดึงผู้บริโภคที่ใช้เวลาอยู่กับเพจนานขึ้น
เพราะตอนนี้ สรุปกันแล้วว่า 
วิดีโอคือ “เมกะเทรนด์” ที่จะเกิดขึ้น 
คนใช้เฟซบุ๊ค จะใช้เวลาดูวิดีโอ
มากถึง 100 ล้านชั่วโมงต่อวัน
.
เมื่อมันเป็นแบบนี้
“โมเดลธุรกิจใหม่” ของ Content Creator 
จะเป็นสื่อทางเลือก ในการหารายได้
เพื่อหวังเม็ดเงินโฆษณาแทรกในรายการ 
โดยไม่ต้องพึ่งสปอนเซอร์แบบเดิมๆอย่างเดียว
.
ธุรกิจไม่เกาะกระแส “จีน” อาจตกขบวน 
เพราะแอพลิเคชั่นจีน คนจะใช้มากขึ้น
ตอนนี้แค่ TikTok แอพน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าในไทย
ตอนนี้มีฐานผู้ใช้ 2 ล้านบัญชี(Account)แล้ว
.
สิ่งสำคัญที่สื่อต้องทำ 
ควรมีความเป็นคนไทยให้น้อยลง 
แต่เป็นประชากรโลกหรือชาวเอเชียให้มากขึ้น 
ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกให้มากขึ้น
เพื่อให้ออกจากกรอบและทันกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก
.
ออนไลน์แรงไม่ตก ทีวีเสื่อมมนต์ขลังลง 
นักการตลาดต้องหากลยุทธ์แบบใหม่
มารับมือการเสพสื่อของคอนซูเมอร์ 
ต้องคาดการณ์เทรนด์ปีหน้าให้ออกให้ได้
มาอะไรจะทรงอิทธิพลต่อการวางแผนธุรกิจ
โดยเค้าคาด 6 เทรนด์ ใหญ่ๆ ไว้ ดังนี้
.
1.ผู้บริโภคใจร้อน หัวร้อนมากขึ้นทวีคูณ 
เพราะเทคโนโลยีความเร็วอินเตอร์เน็ต 5G 
ทำให้การสืบค้นหาข้อมูลเร็วขึ้น 
เลื่อนดู Feed ข้อมูลข่าวสารใช้เวลาน้อยลง 
อย่างในสหรัฐฯ คนหยุดดูสิ่งที่น่าสนใจ
ใช้เวลา 1.7 วินาที จากก่อนหน้า 3 วินาที  
ความเร็วขนาดนี้ เราต้องคิดคอนเทนต์สั้นๆ
เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
.
ส่วนเนื้อหาจะสั้นแค่ไหน 
ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละแพลตฟอร์มด้วย 
อย่างเฟซบุ๊ค 3 วินาที แล้วยังไม่เข้าเรื่อง ลูกค้าหนีได้ 
ส่วนยูทูป ถ้าลูกค้าหยุดดูคอนเทนท์เกิน 6 วินาที 
จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อแบรนด์ 
มีโอกาสเกิด Brand preference 
หรือ Brand Recall
“แบรนด์ต้องทำคอนเทนท์ให้สั้น 
ส่วนผู้บริโภคต้องการเซอร์วิสที่เร็วจากแบรนด์
อย่างอาลีบาบาตอนนี้ ได้ตั้งสโตร์สำหรับส่งสินค้าทุกประเทศ
เพราะหัวใจหลักของธุรกิจคือต้องเดลิเวอรี่
ต้องส่งถึงลูกค้าเป้าหมายภายในวันเดียว 
ให้เร็วสุดไม่ใช่สินค้าต้องถูกที่สุด”
.
2.Data is Core ขุมทรัพย์ข้อมูลหัวใจสำคัญ
ยุคนี้ใครมข้อมูลเป๊ะ! ถือว่าได้เปรียบทางธุรกิจ 
ช่วยให้วิเคราะห์ความต้องการ 
คาดการณ์แนวโน้มต่างๆ 
การเห็นภาพอนาคตจากข้อมูลเชิงสถิติ
จะช่วยให้นักการตลาดวางหมากรบได้แม่นยำ
.
สิ่งที่น่าขบคิดขณะนี้ 
คือมีผู้ที่นำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
น้อยเพียง 1% เท่านั้น 
แต่อีก 99% ยังต้องอัพ เลเวลความเข้มข้นในการใช้ข้อมูล
หรือบางแห่ง ไม่เคยใช้ข้อมูลพวกนี้เลย
.
3.การใช้สื่อตอนนี้ ต้องเป็นผสานทุกสื่อ
เพื่อเพิ่มประสบการณ์ลูกค้า
ให้ได้ปฏิสัมพันธ์ข้ามสื่อทุกแพลตฟอร์ม 
เพราะปัจจุบันการสื่อสารผ่านสื่อช่องทางเดียว 
เช่น โฆษณาทางทีวีอาจสร้าง Awareness
แต่การรัวหมัดตลาดต่อบนโลกออนไลน์
จะช่วยทำให้มีการเข้าถึง 
มีส่วนร่วมกับแบรนด์ เพิ่มขึ้น
อย่างเฟซบุ๊ค ต้องสื่อสารด้วยคอนเทนท์ที่ทำให้เกิด Impact ต่อผู้บริโภค 
อินสตาแกรม เชื่อมไลฟ์สไตล์ 
ทวิตเตอร์เพื่อความเร็วในการเป็นผู้กำหนดเทรนด์(Trend Setter)
ให้เกิดกระแสบอกต่อ(Buzz Word) 
เป็นกองหนุนการทำตลาดให้แบรนด์สปริงบอร์ดไปยังสื่ออื่นๆ
.
การผสานสื่อแบบนี้
สิ่งจำเป็นที่สุดคือการอัพเดทข้อมูล 
ประวัติของผู้บริโภคให้ทันเหตุการณ์เสมอ
ว่าเริ่มจากจุดไหน ผ่านช่องทางใดบ้าง 
เพื่อแบรนด์จะได้ตัดทอน ให้เกิดการซื้อสินค้าเร็วขึ้น
.
เทรนด์ที่ 4 พุ่งตรงไปที่“ผู้นำองค์กร”
ต้องลุกขึ้นมาให้ความสำคัญ
ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงการทำตลาดดิจิทัล 
บางแห่งต้อง Disrupt  เทคโนโลยีให้ถูก
อย่างธ.ไทยพาณิชย์(เอสซีบี) 
ตอนนี้นโยบายและแผนปฏิบัติงานต่างๆ
จะส่งผลตามการตลาด และเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเห็นชัดเจนมากขึ้น
.
5.เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ)
และระบบสนทนาอัตโนมัติ(แชทบอท)จะมาแน่ๆ
ตอนนี้จะเริ่มตอบคำถามขั้นพื้นฐานสั้นๆ 
ยังพัฒนาช่วยขายสินค้าได้ด้วย 
บอกเล่าโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย 
ช่วยบริหารความรู้สึกของลูกค้าในการรอคอย 
เป็นแก้ภาวะวิกฤติเบื้องต้น 
เพราะนับวันการเรียนรู้ของเทคโนโลยี
จะถูกยกระดับให้ใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้น
จะเห็นว่าตอนนี้ สินค้าที่นำแชทบอทมาใช้
จะเริ่มมีหลายกลุ่ม เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค,
อสังหาริมทรัพย์ อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น
.
เทรนด์ที่ 6 ระบบจดจำอัตลักษณ์บุคคล 
เป็นการเก็บข้อมูลสินค้าจนระบุตัวตน 
เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบสินค้า
ระหว่าง A และ B ได้อย่างชัดเจน 
ตัวอย่างการแท็กเพื่อนบนเฟซบุ๊คว่าใครเป็นใคร
มีความแม่นยำมากมากถึง 97.25%
และปัจจุบันอาจอัพเลเวลความแม่นเป๊ะกว่าเดิม
.
อีกพฤติกรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ
คนออนไลน์ จะชอบเสพโซเชียลคุยกันสนั่นเมือง 
ทั้งบันเทิง ธุรกิจ เรื่องราวสังคม ฯ 
เกิดปริมาณข้อมูลมากถึง 5.3 พันล้านข้อความ 
เติบโต 43% จากปีก่อนมี 3.6 ล้านข้อความ 
โดยทุก 1 นาทีละ 10,000 ข้อความ 
หากสกัด Big Data มาใช้ได้
จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาธุรกิจมากเลยทีเดียว
.
อย่างตอนนี้ การสร้าง Big Data เป็นเรื่องสำคัญ
อย่างค่าย Grammy ตอนนี้ การสร้างยอดขาย
ไม่อยู่ในเครือของตัวเองแล้ว
เพราะจับมือกับ Workpoint เอานักร้องไปออกเกม
จนสร้างความนิยมให้กับนักร้องหลายคน
จนเราต้องตกใจ ว่าเค้าสร้างชื่อเสียง
ให้กับนักร้องที่มาร่วมรายการ
ได้ดีกว่าต้นสังกัดเสียอีก
เฮ่ย! มันเป็นแบบนี้ได้ไงฟ่ะ
ChatTalks…คุยธุรกิจ คิดให้เป็น
www.facebook.com/chatchaitalk
Tel.081-4954999 , Line ID : ChatTalks
Email : kittisak4999@hotmail.com

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นิรมน คนหน้าเย็น โฆษณาใหม่จาก แอร์ เอเชีย ใช้แอร์โฮสเตสจริง มาร้องเพลงโฆษณา

คะแนน ฟีฟ่า แร้งกิ้ง ของ ทีมชาติไทย จะอยู่ที่อันดับ 99 ของโลก

‘ปัญญ์ปุริ’ สานเป้าหมายแบรนด์โลก ลุยต่างประเทศ ทุ่ม 500 ล้าน เปิด 50 สาขา

‘ลุฟท์ฮันซ่า’ นำเครื่องบินใหญ่สุดของโลก แอร์บัส A380 คัมแบ็กให้บริการในไทย

“ศุภาลัย”ชูมิกซ์โปรดักส์ชิงดีมานด์แนวราบปักหมุดใจกลางเมืองภูเก็ต