วงการหนังสือโตต่อ แต่ต้นทุนก็สูงไม่หยุด! “PUBAT” ชี้ “นิยายวาย” พุ่งแรง 45% แต่ภาพใหญ่ยังต้องพึ่งรัฐอีกมาก
แม้ในรอบ 8 ถึง 9 เดือนที่ผ่านมา แนวโน้มการเติบโตของวงการหนังสือจะไม่ได้หวือหวามากนัก สัดส่วนเพิ่มขึ้นเพียง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ “สุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์” นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ก็มองว่า ยอดขายและยอดพิมพ์หนังสือยังไม่แผ่วปลาย ยังคงมีที่ทางให้ไปต่อได้ โดยระบุว่า บรรดาสำนักพิมพ์รายใหญ่มียอดพิมพ์ราวๆ 2,000 เล่ม เติบโตขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อีกทั้งยอดขายบางส่วนยังแบ่งไปโตต่อที่อีคอมเมิร์ซทั้ง “Shopee” และ “Lazada” คู่ขนานกันไปด้วย
“สุวิท”
บอกว่า หมวดหมู่หนังสือขายดีที่ไม่เคยยอดตกเลย คือ “หมวดบอยเลิฟ-เกิร์ลเลิฟ”
มีสัดส่วนตลาดอยู่ที่ 45% ตามมาด้วย “หมวดมังงะ” 47%
“หมวดหนังสือพัฒนาตัวเอง-ฮีลใจ” 17% และ “คู่มือเตรียมสอบ” เติบโตที่ 9%
ซึ่งเป็นประเภทหนังสือจำเป็น อย่างไรก็ยังโตต่อได้เรื่อยๆ
ส่วนหมวดที่เคยขายดีตามสถานการณ์อย่าง “หนังสือฮาวทู”
ปัจจุบันสัดส่วนลดลงไปรวมอยู่กับ “หมวดทั่วไป” เรียบร้อยแล้ว
โดยกลุ่มฮาวทูเคยขายดีมากๆ ช่วงที่คนต้องการศึกษาศาสตร์ใหม่ๆ
เพื่อนำมาประกอบอาชีพเสริมในวันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังวิกฤติ
ภาพรวมตลาดก็ดูจะไปได้ดี แต่เพราะอะไรราคาหนังสือยังสูงขึ้นต่อเนื่อง? นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สาเหตุหลักมาจากยอดพิมพ์ต่อเล่มที่ลดลง แม้ว่าแนวโน้มตลาดจะเป็นบวก แต่ก็ไม่ได้หวือหวาจนทำให้มียอดพิมพ์ 3,000 ถึง 4,000 เล่ม หากยอดพิมพ์เยอะ ต้นทุนก็จะลดลง เป็นวิธีคิดแบบ “Economy of scale”
นอกจากนี้ ตนยังมองเรื่องของบาลานซ์ระหว่าง “ดีมานด์” และ “ซัพพลาย” ที่ไม่ได้สัดส่วนกัน เนื่องจากมีสำนักพิมพ์เกิดใหม่เยอะมาก เฉลี่ย 3 ถึง 4 แห่งต่อเดือน รวมแล้วใน 1 ปี มีสำนักพิมพ์เกิดใหม่ราวๆ 40 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมสูงอย่างหมวดบอยเลิฟ-เกิร์ลเลิฟ
ตรงกับความเห็นของ
“อัจฉรา พังงา” ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายค้าปลีก ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ระบุว่า ต้นทุนการทำหนังสือ 1 เล่ม ปรับตัวสูงขึ้นจริง ทั้งค่าพิมพ์ ค่าหมึก
ค่ากระดาษ ค่าลิขสิทธิ์ ฯลฯ
ซึ่งปัจจัยเรื่องการปรับเพิ่มราคาไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้เขียนหนังสือ
แต่ขึ้นอยู่กับต้นทุนเหล่านี้
สำหรับโครงสร้างของราคาหนังสือ 1 เล่ม จะมีคร่าวๆ คือ ค่ากองบรรณาธิการทำเล่ม หรือที่เรียกว่า “ค่าต้นฉบับ” ซึ่งในค่าต้นฉบับจะมีค่าลิขสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ต่อมา คือค่าตีพิมพ์ ค่าจัดจำหน่าย และค่าฝากวางขายที่หน้าร้าน ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งหมดนี้จึงทำให้หนังสือออกใหม่ในระยะหลังมีราคาสูง ส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 400 ถึง 500 บาท หากเป็นราคา 100 ถึง 200 บาท ก็จะมีจำนวนหน้าน้อยลง เล่มบางลงจนเห็นได้ชัด
หากถามว่า ราคาที่สูงขึ้นมีผลต่อการตัดสินใจซื้อหรือไม่ “อัจฉรา” ระบุว่า มีความเป็นไปได้ ตอนนี้คนจะจับจ่ายกับอะไรต้องคิดเยอะขึ้น ที่สำคัญ คือเทรนด์การอ่านที่เปลี่ยนไป ยุคนี้คนไม่เน้นซื้อเก็บหรือ “กองดอง” อีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาซื้อเท่าที่อ่าน โจทย์ใหญ่จึงกลับไปที่ฝั่งผู้พิมพ์ว่า จะทำราคาอย่างไรให้ราคาสมเหตุสมผลมากที่สุด แต่ขณะเดียวกันจะขายราคาเดิมก็ไม่ได้เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกภาคส่วน
ด้าน “สุวิท” ระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า แม้หนังสือจะเป็นอาหารสมอง แต่ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต สะท้อนจากงบประมาณที่ได้จากสัดส่วนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยเพียง 69 ล้านบาท สำหรับการจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 ถึง 20 ตุลาคม 2567 ก็ได้งบประมาณการจัดงานมาเพียง 5.5 ล้านบาทเท่านั้น
สถานการณ์ตอนนี้ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ทิ้งท้ายว่า อยู่ในช่วงเวลาของการพยายามไต่ขึ้น ประคองตัว และพออยู่พอกิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้