เพราะเริ่มที่ ‘ใจ’ วันนี้ Jaymart Group จึงเป็นอาณาจักรที่ไม่ได้มีแค่ร้านมือถือ แต่มีธุรกิจกว่า 20 บริษัทอยู่รอบตัวคุณ
จากจุดเริ่มต้นในปี 2531 เป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยี่ห้อในระบบเงินผ่อน ก่อนเริ่มขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าไปในตลาดขายส่ง ต่อมาในปี 2535 ได้เริ่มดำเนินธุรกิจการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านระบบเงินสด ระบบผ่อนชำระ และขายส่ง
.
มาวันนี้ ‘Jaymart Group’ ได้เติบใหญ่อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 จนปัจจุบันได้ถูกจัดอยู่ใน SET 50 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 อันดับแรก และเติบโตมาได้ไกล มีธุรกิจกว่า 20 บริษัท และเป็นธุรกิจที่อยู่รอบตัวคุณโดยที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
.
หลายคนอาจเข้าใจว่า ธุรกิจหลักของ ‘Jaymart’ คือร้านขายโทรศัพท์มือถือ แก็ดเจ็ต และไอทีเพียงอย่างเดียว Jaymart Group จึงได้เปิดตัวแคมเปญและภาพยนตร์โฆษณาที่เล่าเรื่องผ่าน Iceberg ซึ่งเล่นกับ Perception ของผู้คน ยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำนั้นเปรียบเหมือนกับ Jaymart ที่คนมองว่าเป็นเพียงร้านโทรศัพท์มือถือ แต่แท้จริงแล้วมีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาซ่อนอยู่ใต้ยอดเขา เหมือนกับการที่ Jaymart Group มีธุรกิจอีกมากมายรอบตัวคนโดยที่ไม่มีใครคาดคิด และสามารถขยายอาณาจักรให้เติบใหญ่ และมีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 2 แสนล้านบาท และแนวคิดที่ทำให้ Jaymart Group เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง มาจากการ ‘เริ่มต้นทำทุกอย่างด้วย ‘ใจ’ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 เรื่องหลักคือ
.
1. ทำด้วยใจ - ด้วยเครือข่ายธุรกิจและพาร์ตเนอร์ที่หลากหลาย จึงทำธุรกิจที่เข้าถึงทุกชีวิต
2. ให้ใจ - เข้าใจ และเห็นใจความต้องการของคนไทยทุกคนอย่างลึกซึ้ง และพร้อมแก้ปัญหาให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ
3. สร้างสรรค์ด้วยใจ - ด้วยดาต้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงทำให้คิดค้นธุรกิจที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของมนุษย์จริงๆ
4. พลังใจ - เป็นแรงผลักดันให้กับคนไทยทุกคนสร้างต้นทุนด้วยตัวเอง ก้าวต่อไป ข้างหน้า และไม่กลัวอุปสรรคเหมือนที่ Jaymart Group โตมาจากศูนย์
.
ด้วยหลักการนี้เองที่ทำให้ธุรกิจในเครือ Jaymart Group สามารถเข้าถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในทุกด้านด้วยบริการที่ตอบความต้องการที่สุด และพร้อมที่จะดูแลใจของทุกคน
.
ขณะที่หากมองเข้าไปในกลุ่มธุรกิจของ Jaymart Group จะแบ่งออกเป็นดังนี้
.
บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (ถือหุ้น 99.9%) - ประกอบธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอที ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง โดยมีทั้งหน้าร้านกว่า 300 สาขาทั่วไทย และผ่านหน้าเว็บไซต์ออนไลน์
.
บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 53.5%) - ดำเนินธุรกิจติดตามหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และธุรกิจประกันภัย และนายหน้าธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริหารหนี้ และติดตามหนี้ของประเทศ
.
บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ASSET (ถือหุ้น 65.5%) - ดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในส่วนของธุรกิจมือถือ ภายใต้แบรนด์ IT Junction และศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ เช่น The Jas, Jas Urban, Jas Green Village ซึ่งปัจจุบันมี 5 ศูนย์การค้าทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังรุกเข้าไปสู่ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ภายใต้แบรนด์ Senera Senior Wellness
.
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 25.6%) - ประกอบธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, เชิงพาณิชย์, เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร, ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือออนไลน์, ตู้เติมน้ำมันแบบหยอดเหรียญ ภายใต้แบรนด์ ‘Singer’ และจำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ พร้อมกับมีบริการสินเชื่อแบบเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งมีหน้าร้านที่ติดต่อกับลูกค้าในกรุงเทพฯ และตามต่างจังหวัดกว่า 7,000 แห่ง
.
บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (ถือหุ้น 49.9%) - ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรายย่อยแบบหมุนเวียน (Revolving Loan) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกับ KB Kookmin Card ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะรุกเข้าสู่ธุรกิจบัตรเครดิตในประเทศไทย
.
บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด (ถือหุ้น 95.3%) - ดำเนินธุรกิจร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และร้านกาแฟ Specialty Coffee แบรนด์ Casa Lapin และ White Cafe ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 30 สาขาทั่วประเทศ
.
บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (ถือหุ้น 66.7%) - ดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันทางด้านฟินเทค (FinTech) และลงทุนในกิจการอื่น โดยเน้นลงทุนในธุรกิจ Start-up ที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ทำ ICO คนแรกของประเทศ ที่ชื่อว่า JFIN Coin และปัจจุบันได้พัฒนา Blockchain ของตัวเองภายใต้ Chain ที่ชื่อว่า ‘JFIN Chain’
.
บริษัท เจ อีลิท จำกัด (ถือหุ้น 99.9%) - ดำเนินธุรกิจเป็นศูนย์กลางในการสะสมคะแนน J Point ของกลุ่ม Jaymart
.
บริษัท เจดี กรุ๊ป จำกัด (ถือหุ้น 25.0%) - เป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการดีลเลอร์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านฐานลูกค้าของดีลเลอร์ ทั้งในรูปแบบเงินสดและเงินผ่อน โดยขายสินค้าแบบ Multi Brand
.
บริษัท เจจีเอส ซินเนอรจี พาวเวอร์ จำกัด (ถือหุ้น 40.0%) - ร่วมลงทุนกับบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์โซลูชันผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่าย และการจัดหาสินเชื่อโดยกลุ่มธุรกิจในเครือของบริษัททั่วประเทศ สำหรับสินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าและโซลาร์โซลูชัน และพัฒนาการร่วมลงทุนในการลงทุนติดตั้งระบบ Solar Rooftop เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับผู้บริโภค
.
บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการทางด้านประกันภัย ซึ่งตั้งเป้าจะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการประกันภัยของผู้บริโภคให้มากขึ้น
.
นอกจากนี้ Jaymart Group ได้ขยายพันธมิตรในการดำเนินงานไปอีกมากมาย เช่น
.
ประกาศเข้าลงทุนใน บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ถือหุ้น 15.0%) ผู้นำอันดับ 1 ให้บริการจัดหาบุคลากรและบริหารทรัพยากรบุคคล (HR Outsourcing) แบบครบวงจร มุ่งเน้นงานด้านบริหารจัดจ้างพนักงาน (Outsourcing Services) และมุ่งเน้นการพัฒนาและนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ซึ่งดีลการเข้าลงทุนจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในต้นปี 2566
.
ลงทุนในบริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NINE (ถือหุ้น 9.8%) - ประกอบด้วยธุรกิจทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจร้านค้าปลีก, ธุรกิจพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีสิทธิ์เข้าบริหารจัดการพื้นที่ภายในสถานีรถไฟฟ้า BTS กว่า 30 สถานี และธุรกิจสิ่งพิมพ์/หนังสือ ภายใต้ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Jaymart ได้สร้างความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจธนาคารกสิกรไทย จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือ AMC ที่ได้เข้าไปถือหุ้น 50% ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ เจเค จำกัด หรือ JK AMC เพื่อเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์เฉพาะกิจรายแรกของประเทศ
.
เข้าลงทุนใน บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR (ถือหุ้น 6.3%) ซึ่ง BRR นั้นเป็นโฮลดิ้งคอมพานีในบริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 99.99% ซึ่งดำเนินธุรกิจจำนวน 6 บริษัท โดยมีธุรกิจหลักเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องกับน้ำตาลทราย
.
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ทำให้นักวิเคราะห์ต่างมองเป็นผลดี เพราะจะเข้ามาหนุนธุรกิจระยะยาว อย่าง บล.เอเซีย พลัส ที่ระบุว่า จะเข้ามาเสริมรายได้ในอนาคตผ่านธุรกิจเดิม ได้แก่ ‘Singer’ ซึ่งสามารถเสนอสินเชื่อทะเบียนรถให้แก่ชาวไร่อ้อย โอกาสในการเข้าถึงชาวไร่ 20,000 ครัวเรือน เพื่อนำเสนอสินเชื่อบุคคล และนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ ให้แก่ชาวไร่ที่สนใจเข้าเป็น Singer Franchise
.
ในส่วนของ J ASSET เพิ่มโอกาสในการหาพื้นที่รอบชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ในอนาคต
.
สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านี้คือนี่จะเป็นดั่งทางลัดในการขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตสูง จากกระแสรักษ์โลกและความได้เปรียบคู่แข่งทั่วโลก ด้านต้นทุนการผลิตจากต้นน้ำ (ผลพลอยได้จากชานอ้อยที่สามารถทำเป็นเยื่อขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้)
.
เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัว ซึ่งทิศทางในอนาคตของ ‘Jaymart Group’ ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ แต่พร้อมจะค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
.
#ใจเป็นได้มากกว่าที่คุณคิด #เจมาร์ทกรุ๊ป #JaymartGroup #ใจเจมาร์ท
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้