ผลงานบิ๊กสื่อสาหัส “ช่อง3-ช่องวัน31-เวิร์คพอยท์” กำไรลด โมโน29 ขาดทุนหนัก!
“เม็ดเงินโฆษณาแสนล้านบาท” เป็นภาพรวมที่ “นีลเส็น” ตลอดจน สมาคมมีเดียเอเยนซี และธุรกิจสื่อโฆษณาแห่งประเทศไทย(MAAT) หยิบยกมารายงานซึ่งเป็นมูลค่าที่ยังไม่หักส่วนลดแก่ลูกค้า(Rate Card)
ปิดปี 2566 งบโฆษณาที่ MAAT แจกแจงมีมูลค่า 114,447 ล้านบาท เติบโตเพียง 2.6% เท่านั้น และสื่อดั้งเดิมที่ครองเม็ดเงินโฆษณาสูงสุดอย่าง “ทีวี” ด้วยมูลค่า 53,213 ล้านบาท“หดตัว” 2.5%
“ทีวีดิจิทัล” ประเภทธุรกิจที่เหลือในตลาด 15 ช่อง เป็นกิจการที่เหมือนขึ้นหลังเสือไปแล้ว ลงไม่ได้! เพราะลงทุนประมูลมหาศาล และระยะเวลาของใบอนุญาตประกอบกิจการหรือไลเซนส์เหลืออีก 6-7 ปีเท่านั้น แต่การ “หารายได้” ยังยากยิ่งนัก และเมื่อดูผลประกอบการของบรรดา “บิ๊กสื่อ” ยิ่งสะท้อนภาพดังกล่าว เพราะธุรกิจหลักหรือ Core Business แหล่งรายได้อย่างโฆษณาที่ต้องดึงเงินจากกระเป๋าลูกค้ายากเหลือเกิน ส่วนสื่อใหม่ทั้งดิจิทัล และสื่อที่ร้อนแรงอย่างสื่อโฆษณานอกบ้าน(OOH)ก็มีบทบาทแบ่งเค้กมากขึ้นด้วย
:: ช่อง 3 กำไรลดลง 65.4% ::
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด(มหาชน)หรือช่อง 3 รายงานผลประกอบการปี 2566 บริษัททำรายได้ 4,652.9 ล้านบาท ลดลง 9% และมี “กำไรสุทธิ” 210 ล้านบาท ลดลง 65.4% หรือคิดเป็นมูลค่า 397 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้จากโฆษณาอยู่ที่ 3,963.2 ล้านบาท ลดลง 10.9% โดยปัจจุบัน “โฆษณา” ทำเงินให้บริษัทมากถึง 85.2% ส่วนรายได้จากการให้ใช้ลิขสิทธิ์และบริการอื่นอยู่ที่ 689.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6%
สำหรับปัจจัยกระทบผลงานของบริษัท มีทั้งเศรษฐกิจไทยเผชิญสารพัด “ความเสี่ยง” ที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน เช่น เศรษฐกิจโลกถดถอย การส่งออก การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง “เงินเฟ้อสูง” ตลาดการเงินโลกผันผวน ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ “เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย”
อีกทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กระทบต้นทุนราคาพลังงาน ต้นทุนการเงิน เป็นต้น ขณะที่แรงหนุนเศรษฐกิจมีเพียง “ภาคการท่องเที่ยว” และ “การบริโภคของภาคเอกชน” เท่านั้น
ประเทศไทยยังมี “มรสุมการเมือง” ที่ไม่มีเสถียรภาพจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล “ทำให้การบริโภคและการลงทุนภาครัฐลดลงอย่างยาวนานในปี 2566” มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้ประกอบการในประเทศจน “ชะลอการใช้จ่าย” เป็นต้น
:: ผลิตหนัง 2-3 เรื่อง ลุยน่านน้ำใหม่ทำเงิน ::
ช่อง 3 วางตัวเป็นยักษ์คอนเทนต์โปรวายเดอร์ ไม่แค่ “ช่องทีวีดิจิทัล” ดังนั้นการหารายได้จาก “น่านน้ำใหม่” จึงเป็นเชิงรุก ซึ่งปี 2566 บริษัทสร้างรายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายละครไปต่างประเทศและธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม รายได้รวมกัน 669.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และมีสัดส่วน 14.4% ของรายได้รวมบริษัท ธุรกิจภาพยนตร์ เป็นอีกขุมทรัพย์ทำเงิน ซึ่งปีที่ผ่านมาช่อง 3 ผนึกพันธมิตรสร้าง “ธี่หยด” ทำเงินได้กว่า 400 ล้านบาท และยังขึ้นแท่นหนังไทยทำเงินสูงสุดในประวัติศาสตร์อันดับ 4 ด้วย
ในส่วนของธุรกิจการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ ซึ่งยังเน้นตลาดอาเซียน และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงการขยายสู่ 23 ประเทศในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา และอินเดีย การออกอากาศคู่ขนานกับไทย(Simulcast / Date on Broadcasting) การเสิร์ฟคอนเทนต์สู่แพลตฟอร์มออนไลน์สตรีมมิง(OTT) เช่น Netflix VIU Amazon Prime MediaCorp และ Netopia
ด้านธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม การร่วมมือกับเอไอเอส ธนาคารไทยพาณิชย์(เอสซีบี) และธนาคารกรุงเทพ เพื่อเพิ่มยอดสมาชิก 3Plus Premium ทั้งแบบรายเดือน 6 เดือน รายปี ราคาพิเศษ ทำให้บริษัทมียอดสมาชิกทะลุ 1 แสนรายแล้ว
ส่วนธุรกิจบีอีซี สตูดิโอ โปรเจคใหญ่ที่บริษัททุ่มเงินลงทุนมหาศาล มีการประกาศขยายตลาดไปต่างประเทศเมื่อปลายปี 2566 ในงาน “แกะกล่องไทยบันเทิง” ที่จัดโดยยักษ์ใหญ่ Prime Video บริษัทป้อน 2 คอนเทนต์ อย่างละคร “ร้อยเล่มเกมส์ออฟฟิศ” และ “มือปราบกระทะรั่ว” ปลายปีได้ออกอากาศทั่วอาเซียนผ่านแพลฟอร์ม Prime Video
มุมมองปี 2567 ท้าทาย เศรษฐกิจโลก หนี้นอกระบบ มาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลยุทธ์การปั๊มรายได้จะเห็นการผลิตภาพยนตร์ 2-3 เรื่อง การมุ่งขยายฐานสมาชิก 3Plus Premium และบทบาทของบีอีซี สตูดิโอ จะผลิตคอนเทนต์ป้อนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งโลกมากขึ้น ปีนี้จะเห็นการต่อยอด “พรหมลิขิต” ด้วยการการบริหารลิขสิทธิ์ หาบริหารรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา(IP Right) การริเริ่มธุรกิจบริหารศิลปิน เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้