บิ๊กไทยแอร์เอเชียหวั่นบาทอ่อนทุบกำไร มั่นใจ 2 แอร์ไลน์โกยผู้โดยสาร 24 ล้าน

เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปี 2567 จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ ‘ค่าเงินบาท’ ถ้าบาทแข็งก็จะดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม! ‘ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์’ บิ๊กไทยแอร์เอเชีย กล่าวไว้เช่นนั้น และมองว่าแม้ตอนนี้เศรษฐกิจไทยจะไม่ค่อยดี แต่ ‘ภาคการท่องเที่ยว’ ก็ยังพอเอาตัวรอดได้!

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลดีต่อจิตวิทยาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ปลายปีนี้น่าจะมีกระแสการเดินทางเข้าไทยมากพอสมควร

ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ผู้ให้บริการสายการบินไทยแอร์เอเชีย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ กล่าวว่า สำหรับไทยแอร์เอเชีย (รหัสเที่ยวบิน FD) และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (รหัสเที่ยวบิน XJ) ในช่วงโลว์ซีซันไตรมาส 3 มีบาดเจ็บนิดหน่อย ต้องเก็บคองอเข่าตามฤดูกาล แต่ในไตรมาส 4 ปีนี้จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 จะเป็นไฮซีซันที่ดีมาก หลังครึ่งปีแรกทั้ง 2 สายการบินมีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) เฉลี่ยอยู่ที่ 86%

“ปัจจัยที่มีผลต่อการทำกำไรปีนี้ จะกำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเรื่องเดียวเลยที่คุมไม่ได้คืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพราะความสามารถในการทำรายได้ของแอร์เอเชียไม่เคยตก ต้นทุนเราก็คุมได้ แต่มีอย่างเดียวที่เราคุมไม่ได้คืออัตราแลกเปลี่ยน”

คาดปี 67 เป็นปีที่ดีมากของ ‘ไทยแอร์เอเชีย’ 

คาดว่าปี 2567 จะเป็นปีที่ดีมากของ “ไทยแอร์เอเชีย” น่าจะทำกำไรได้สวยงาม จากยอดผู้โดยสารรวม 21-22 ล้านคน แม้จะยังไม่กลับไปเท่าเดิม 22.15 ล้านคนเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด แต่ด้วยจำนวนฝูงบินที่มีน้อยกว่า โดยปัจจุบันมี 57 ลำ เตรียมรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A321neo เพิ่มอีก 3 ลำในครึ่งปีหลัง ทำให้สิ้นปีนี้จะมีฝูงบินรวม 60 ลำ ขณะที่ปี 2562 มีฝูงบิน 63 ลำ เท่ากับว่าไทยแอร์เอเชียสามารถทำอัตราการขนส่งผู้โดยสารได้ดีขึ้น และในปี 2568 น่าจะมียอดผู้โดยสารแซงปีก่อนโควิดได้สำเร็จ

:: ‘ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์’ ลุยเก็บให้ครบ เส้นทางบิน 5-6 ชั่วโมง ::

ส่วน “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์” ที่จะย้ายฐานปฏิบัติการบินกลับมาประจำสนามบินดอนเมือง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ปัจจุบันมีฝูงบินแอร์บัสA330 ประจำการ 8 ลำ ในสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มเป็น 11 ลำ ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มี 12 ลำ โดยเครื่องบินที่รับมอบเข้ามาจะนำไปเปิดเส้นทางบินใหม่ 2-3 เส้นทางในครึ่งปีหลัง เช่น เซนได ญี่ปุ่น และนิวเดลี อินเดีย พร้อมประเมินว่าตลอดปีนี้จะมียอดผู้โดยสารรวม 2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังกลับไปไม่เท่าเดิมที่ 2.6 ล้านคนเมื่อปี 2562

ด้านเส้นทางบินอื่นๆ ที่มีศักยภาพ กำลังศึกษาหลายตลาด ทั้งเส้นทางบินสู่ “ตะวันออกกลาง” มีรัศมีการบิน 5-6 ชั่วโมง ไม่ต่างจากบินไปญี่ปุ่น เช่น ซาอุดีอาระเบียหลังเพิ่งฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีฯ เมื่อต้นปี 2565 พบว่ามีดีมานด์นักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทยมากขึ้น และมีคนไทยไปลงทุนในซาอุดีฯ เพิ่มขึ้นด้วย

“ใน 2-3 ปีข้างหน้า ตลาดที่ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ อยากจะเก็บศักยภาพให้ได้มากที่สุดก่อน คือเส้นทางที่มีรัศมีการบิน 5-6 ชั่วโมง แน่นอนว่าไม่พ้นตลาดจีน ซึ่งมองเมืองตอนบนเอาไว้ เช่น ฮาร์บิน และชิงเต่า รวมถึงเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และตะวันออกกลาง ส่วนเส้นทางบินสู่ยุโรป แม้ตอนนี้ตลาดจะพร้อมแล้ว แต่เครื่องบินยังไม่พร้อม ต้องรอก่อน ทั้งหมดนี้หมายปูพรมสู่เป้าใหญ่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลักดันยอดผู้โดยสารรวมไปให้ถึง 10 ล้านคน จากการขยายฝูงบินเพิ่มเป็น 20-30 ลำ ด้วยการทยอยรับมอบ 3-5 ลำต่อปีนับจากนี้”

:: ‘ไทยแอร์เอเชีย’ ตั้งเป้าผู้โดยสารเส้นทางอินเตอร์ 8-9 ล้านคนปีนี้ ::

สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ด้านแผนขยายฝูงบินของ “ไทยแอร์เอเชีย” จะทยอยรับมอบเครื่องบินอีกปีละ 4-6 ลำ โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้มีแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ โฟกัสหลักอยู่ที่ “อินเดีย” และ “อาเซียน”

ธันย์สิตา อัครฤทธิภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เล่าเสริมว่า เฉพาะเป้าหมายยอดผู้โดยสาร “เส้นทางระหว่างประเทศ” ของ “ไทยแอร์เอเชีย” ในปีนี้อยู่ที่ 8-9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับปีที่แล้ว จากการฟื้นตัวของปริมาณที่นั่งโดยสารตลอดปีนี้ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 85% เทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด และตั้งเป้าอัตราการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยที่ 87%

หลังช่วงครึ่งปีแรกยังคง “On Track” หรือเป็นไปในทิศทางที่วางไว้! มีการฟื้นตัวของปริมาณที่นั่งโดยสารเส้นทางระหว่างประเทศ 82% เมื่อเทียบกับปี 2562 มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร 89% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการภาครัฐ อาทิ มาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) แก่ตลาดเป้าหมาย และการเจรจาสิทธิการบินระหว่างไทย-อินเดีย

เฉพาะเส้นทาง “อินเดีย” ถือเป็นตลาดเดียวที่มีปริมาณที่นั่งโดยสารฟื้นตัวแซงปีก่อนโควิดแล้วเรียบร้อย เติบโตถึง 16% และมีอัตราการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 91% ส่วนเส้นทาง “จีน” ฟื้นตัว 55% เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังไม่ค่อยดีนัก มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร 92% และเส้นทาง “อาเซียน” ฟื้นตัว 88% มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร 89%

จากภาพรวม “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เดินทางเข้าไทยสูงสุด “3 อันดับแรก” ในครึ่งปีแรก อันดับ 1 จีน มีจำนวนสะสม 3.4 ล้านคน พบว่าเป็นผู้โดยสารของไทยแอร์เอเชียแล้ว 4.48 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 15% ของนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมด ด้านอันดับ 2 มาเลเซีย มีจำนวนสะสม 2.4 ล้านคน เป็นผู้โดยสารไทยแอร์เอเชีย 3.51 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 15% และอันดับ 3 อินเดีย มีจำนวนสะสม 1 ล้านคน เป็นผู้โดยสารไทยแอร์เอเชีย 2.11 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 20%

ครึ่งปีหลังเปิด 6 เส้นทาง แย้มปี 68 บุกบินตรง 2 ประเทศที่ไม่เคยบินมาก่อน

ธันย์สิตา เล่าเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ไทยแอร์เอเชียมีแผนเปิดเส้นทางระหว่างประเทศอย่างน้อย 6 เส้นทาง โดย 3 เส้นทางแรกที่เปิดตัวไปแล้ว ได้แก่ ดอนเมือง-ไฮเดอราบัด อินเดีย ความถี่ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มบิน 27 ต.ค. เป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยทำการบินก่อน และทำให้ไทยแอร์เอเชียบินตรงสู่อินเดียมากที่สุด 12 เมือง ได้แก่ โกลกาตา เชนไน ชัยปุระ โกชิ บังกาลอร์ คยา ลัคเนา อัห์มดาบาด กูวาฮาติ วิศาขาปัตตนัม ติรุจิรัปปัลลิ และไฮเดอราบัด รวม 56 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

ดอนเมือง - ฟู้ก๊วก เวียดนาม ความถี่ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มบิน 27 ต.ค. คาดได้ผู้โดยสารคนไทยเดินทางไปเที่ยวมากถึง 60-70% และ ภูเก็ต - เสียมราฐ กัมพูชา ความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เริ่มบิน 29 ต.ค. เป็นเส้นทางที่มีดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมโยงการเดินทางไปสัมผัสเมืองมรดกโลกได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนอีก 3 เส้นทางใหม่ที่เตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดอนเมือง-กาฐมาณฑุ เนปาล, ภูเก็ต-เชนไน และ ภูเก็ต-โกลกาตา

“เส้นทางจีน กำลังศึกษาการเปิด 2 เส้นทางในตารางบินฤดูหนาว ไตรมาส 4 นี้ หรือไตรมาสแรกปีหน้า เส้นทางแรก บินตรงจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ไปเมืองใหม่ในจีนที่ไม่เคยทำการบินมาก่อน และเส้นทางเชียงใหม่บินตรงเข้าจีน ส่วนปี 2568 หนึ่งในไฮไลต์คือการเปิดบินตรงไปยัง 2 ประเทศที่ไม่เคยทำการบินมาก่อน”