ตลาดถุงยางอนามัยโต ‘ไทยนิปปอน’ ผนึกแบรนด์ เพลย์บอย ผลิตในไทย

‘ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้’ ผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ของประเทศ จับมือ ‘เพลย์บอย’ แบรนด์แฟชั่นใหญ่ในโลกจากสหรัฐ เร่งผลิตและทำตลาดถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY ในประเทศไทย ร่วมส่งออกทั่วโลก ชี้ตลาดโลกมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท

นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (TNR PLC) กล่าวว่า แผนของบริษัทในปี 2567 ได้มีการขยายความร่วมมือกับแบรนด์ เพลย์บอย ผู้นำแฟชั่นเสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์รายใหญ่ในโลก ที่ก่อตั้งในโลกมาร่วม 71 ปีแล้ว สู่การผลิตถุงยางอนามัยในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ได้มีการลงนามสัญญาสิทธิการออกแบบ ผลิต ส่งเสริมการขาย และจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ เพลย์บอย (PLAYBOY CONDOMS) เป็นเวลา 30 ปี กับ PLAYBOY Group Inc จากประเทศสหรัฐ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ส่งเสริมการขาย และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ทั้งตลาดในไทยและส่งออกไปทั่วโลก
สำหรับภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท มีแนวโน้มขยายตัว รวมถึงเป็นตลาดที่มีกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ประเมินว่าจะเริ่มทำตลาดได้อย่างเป็นทางการในปี 2568 เป็นต้นไป เริ่มจากออนไลน์ เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอใบอนุญาตขึ้นทะเบียนการผลิตสินค้าประมาณ 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกับแบรนด์กับ เพลย์บอย จะใช้ความแข็งแกร่งของแต่ละบริษัทมาเสริมกัน โดยบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าถุงยางอนามัยมายาวนาน มุ่งการสร้างนวัตกรรมสินค้าแบบต่างๆ รวมถึงมีน้ำยายางพาราที่มีคุณภาพในการผลิตสินค้า ส่วนแบรนด์เพลย์บอย มีความแข็งแกร่งและมีเครือข่ายการทำตลาดไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

อีกทั้งมีแผนร่วมมือกำลังขยายส่งออก เน้นใน 4 ประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐ จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ ซึ่งมีการใช้สินค้าถุงยางอนามัยในโลกสูงมาก โดยตลาดประเทศจีน มีมูลค่าสูงถึง 80,000 ล้านบาท หรือมีจำนวนประมาณ 1,000 ล้านชิ้นต่อปี

นอกจากนี้ ผลจากความร่วมมือในครั้งนี้ ทำให้บริษัทต้องวางแผนเพิ่มการผลิต จากปัจจุบันกำลังการผลิตสินค้าอยู่ที่ 2,000 ล้านชิ้นต่อปี เพิ่มอีก 1,000 ล้านชิ้น รวมเป็น 3,000 ล้านชิ้นต่อปี และต้องลงทุนใช้งบประมาณ 500-800 ล้านบาท

ทั้งนี้ในมุมมองภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจผลิตถึงถึงยางอนามัยมายาวนาน มีข้อเสนอต่อภาครัฐและบีโอไอ ในการปรับหลักเกณฑ์ส่งเสริมใหม่ ของอุตสาหกรรมผลิตถุงยางอนามัยใหม่ เพื่อให้กลับมาได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดที่ 8 ปี และได้บวกอีก 5 ปี จากปัจจุบันได้รับสิทธิประโยชน์ 5 ปีเท่านั้น ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมมีการส่งออกสูงมากเกือบ 100% แต่หากภาครัฐไม่มีการปรับเกณฑ์ส่งเสริมใหม่ มีโอกาสที่บริษัท อาจจะพิจารณาปรับแผนลงทุนใหม่ทั้งลดการผลิตและงบลงทุนลงมาครึ่งหนึ่ง เช่น จากที่จะเพิ่มการผลิตอีก 1,000 ล้านชิ้นต่อปี อาจจะลดลงมาที่ 500 ล้านชิ้นต่อปี

ภาพรวมของบริษัทมีการผลิตสินค้ามา 31 ปีแล้ว โดยมีการผลิตสินค้าและทำตลาดส่งออกถุงยางอนามัยไปใน 100 ประเทศทั่วโลก พร้อมประเมินว่าในปีต่อไปจะสร้างยอดขายจากต่างประเทศที่ 2,000 ล้านบาท

ทางด้านโรงงานผลิตสินค้าในไทย บริษัทมีโรงงานผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น 1 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี คาดว่า การลงทุนใหม่นี้จะต้องเป็นการสร้างโรงงานใหม่ ขนาดประมาณ 16 ไร่ พื้นที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง ในเฟส 2 หรือ 3 ซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปในปีนี้และเสนอคณะกรรมการบริษัท รวมถึงผู้ถือหุ้น พิจารณาในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม หากประเมินตลาดเฉพาะถุงยางอนามัยในประเทศไทย บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด ในด้านยอดการขายลำดับสองในประเทศไทย ส่วนด้านจำนวนการขาย จะอยู่ในลำดับหนึ่งของประเทศ โดยมีแบรนด์หลักที่ทำตลาดคือ วันทัช (ONETOUCH) และมีแบรนด์โออีเอ็มต่างๆ ที่ผลิตให้ประมาณกว่า 100 แบรนด์

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

อย่ากลัว Distruption เพราะมันมากาคุณแน่ๆ

“พจน์ อานนท์” หนัง Content “ต่ำ” แต่คำโปรโมท “สูง”

กางเกงยีนส์ ‘แม็ค’ ปรับธุรกิจอย่างไร ให้มากกว่าเดนิม สร้างการโตนิวไฮรอบ 7 ปี

Heineken 0.0 เบยร์ไม่มีแอลกอฮอลล์ แกกกฏโฆษณา และฉีกภาพเบียร์ในตำนาน

ต่อไปนี้ ระบบการทำธุรกิจ จะโดน Distrub