“ปัญญ์ปุริ” (PAÑPURI) เนื้อหอมสุดๆ ยักษ์บิวตี้แดนอาทิตย์อุทัยยังเข้ามาร่วมหุ้น ปีที่ผ่านมา ทำรายได้ทะลุ “พันล้านบาท” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ปี 2567 บิ๊กดีลจากการร่วมทุนระหว่าง “โคเซ่” (Kosé) ยักษ์บิวตี้สัญชาติญี่ปุ่น และ “ปัญญ์ปุริ” (PAÑPURI) แบรนด์เครื่องหอมคนไทย สร้างแรงกระเพื่อมให้วงการความสวยความงามบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญ “ปัญญ์ปุริ” มีดีอย่างไร ทำไมโคเซ่จึงอยากเข้าถือหุ้น? เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยใคร่รู้

.

“ปัญญ์ปุริ” ไม่ใช่น้องใหม่ในท้องตลาด เพราะนับจากวันก่อตั้งจนถึงตอนนี้แบรนด์มีอายุย่างเข้าปีที่ 22 แล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นจาก “ปุ๋ย-วรวิทย์ ศิริพากย์” อดีต Consultant ประจำนิวยอร์กที่ทุ่มสรรพกำลังไปกับการทำงานประจำอย่างหนักถึง 15 ชั่วโมงต่อวัน ทุกๆ วันหลังเลิกงาน “วรวิทย์” มีเพียงกลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นรางวัลเล็กๆ ให้ตัวเอง ก่อนที่รุ่งเช้าวันใหม่ต้องตื่นไปทำงานอีกครั้ง

ทว่า เขาไม่ได้หยุดความหลงใหลไว้ในฐานะเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังหยิบมาต่อยอดร่วมกับ “Pain Point” คนทำงาน ทั้งยังเห็นช่องว่างในตลาดที่พอจะแทรกตัวเข้าไปได้ โดยวรวิทย์บอกว่า ลูกค้าคนแรกของปัญญ์ปุริคือตนเอง การวาง “Brand Persona” หรือตัวตนของสินค้าก็อิงต้นแบบมาจากบุคลิกความชอบส่วนตัว ลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายกับตนเองน่าจะชอบแบบไหน ต้องการอะไร ยังขาดอะไร นั่นคือธงแรกที่เจ้าของแบรนด์พันล้านเริ่มต้นในวันตั้งไข่

.

:: ต้องสร้าง Emotional Connection มีเรื่องเล่าทุกเม็ด จะลักชูแค่ราคาไม่ได้ ::

เจ้าของแบรนด์ปัญญ์ปุริเริ่มต้นธุรกิจจากความชอบ-ความหลงใหลที่มีมาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากเรียนจบปริญญาตรีที่ประเทศแคนาดา วรวิทย์ทำงานในบทบาท “Management Consultant” ที่นิวยอร์กนานหลายปี แม้จะสนุกกับงานประจำแต่ตำแหน่งที่ปรึกษาก็กินเวลาชีวิตไปมาก หากวันไหนเลิกงานเร็วหน่อย สิ่งแรกที่วรวิทย์เลือกทำ คือการซื้อครีมอาบน้ำหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีกลิ่นหอมเพื่อนำกลับไปใช้ที่บ้านเป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอง

แต่นานวันเข้าก็เริ่มเกิดความสงสัยว่า ทำไมแบรนด์เครื่องหอมเหล่านี้จึงมีลูกค้าติดตามซื้อใช้เป็นประจำ แม้จะขึ้นราคาทุกปีแต่แนวโน้มการเติบโตยังแรงดีไม่มีตก เมื่อเทียบกับตัวเองด้วยแล้วก็พบว่า ราคาและโปรโมชันไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อด้วยซ้ำไป ถ้าอย่างนั้นแบรนด์เหล่านี้ทำอย่างไรให้เป็นที่จดจำจนเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคได้ ซึ่งในเวลาต่อมา “วรวิทย์” ก็พบว่า สิ่งที่เชื่อมร้อยแบรนด์และลูกค้าไว้ด้วยกัน คือการสร้าง “Emotional Connection” จนผู้บริโภคมองข้ามเรื่องราคาและถามหาความคุ้มค่าที่จะได้รับกลับมามากกว่า

.

ประกอบกับวิถีชีวิตของคนเมืองที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก ความลักชัวรีที่หาได้ง่ายๆ ใกล้ตัวอาจเป็นสิ่งที่ยังขาดหายไป นั่นจึงเป็นจุดตั้งต้นของ “ปัญญ์ปุริ” ที่เริ่มวางกลุ่มเป้าหมายผ่านนิชมาร์เก็ตด้วยไซซ์แบบแมสมาร์เก็ต วรวิทย์บอกว่า จริงๆ แล้วตลาดนิชไม่ได้มีขนาดเล็ก หากแต่ความหมายที่แท้จริงคือการทำความเข้าใจว่า เราโฟกัสที่ลูกค้ากลุ่มไหนเพื่อวางกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาให้พวกเขา ซึ่งระหว่างนั้นก็ต้องพัฒนาคอนเนกชันควบคู่กันไปด้วย


เจ้าของแบรนด์ “ปัญญ์ปุริ” บอกว่า “Storytelling” สำคัญที่สุด ตั้งแต่ชื่อแบรนด์ โลโก้ที่ใช้ วัตถุดิบที่เลือก ชื่อน้ำหอม ฯลฯ ทุกอย่างต้องมีเรื่องเล่า ต่อมาคือ “Sensorial Engagement” ตั้งแต่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ใช่แค่กลิ่นเครื่องหอมหรือน้ำมันระเหย แต่ต้องวาง Journey ตั้งแต่ลูกค้าเดินเข้าร้าน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า เพราะอะไรร้านปัญญ์ปุริจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาด้วย

.

สุดท้าย คือ “Personal and Cultural Relevant” แบรนด์ต้องเชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์-ชีวิตส่วนตัวของผู้บริโภคให้ได้  คนเมืองที่มีความเครียดต้องการอะไร บุคลิกแบบนักเดินทางอยากได้ความผ่อนคลายแบบไหน นี่คือสิ่งที่ต้องคิดและวางสเตปตั้งแต่วันแรก

.

:: หน้าร้านไม่ได้มีไว้ซื้อของอย่างเดียว ประสบการณ์ต้องต่างจากออนไลน์ ::

“ปุ๋ย-วรวิทย์” บอกว่า กลุ่มลูกค้าของ “ปัญญ์ปุริ” เป็นคนลงรายละเอียด ช่างเลือก จะซื้ออะไรต้องพลิกอ่านฉลากข้างขวดให้ครบถ้วน ฉะนั้นเรื่องส่วนผสมสำคัญมาก ออกแบบโปรดักต์มาสวยหรูแต่ถ้าข้างในไม่ดี ลูกค้าไม่ซื้อต่อก็เจ๊งได้เหมือนกัน ส่วนผสมจึงเป็น “Core Valued” ที่สำคัญที่สุด

.

ปัจจุบัน “ปัญญ์ปุริ” มีสิ่งที่เรียกว่า “Zero-list” คือบรรดาส่วนผสมต้องห้าม รวบรวมลิสต์ทั้งของไทย สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จนถึงตอนนี้แบรนด์มีลิสต์ต้องห้ามมากถึง 7,200 รายการ เพื่อทำให้ผู้บริโภควางใจได้ว่า นี่คือสินค้าออแกนิกที่ไม่ต้องพึ่งส่วนผสมเหล่านี้ก็รังสรรค์โปรดักต์ดีๆ ออกมาได้

นอกจากนี้ แม้ว่าปัจจุบันสินค้าจะวางขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้แล้ว แต่วรวิทย์ยังเชื่อว่า การเลือกโลเกชันหน้าร้านมีความสำคัญไม่แพ้กัน ละเอียดถึงขั้นตำแหน่งที่ตั้งภายในห้างที่แม้จะห่างกันเพียงสิบก้าว แต่เชื่อหรือไม่ว่า ระยะเท่านี้ทราฟิกลูกค้าก็เปลี่ยนได้แล้ว “วรวิทย์” แชร์ว่า อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า กลุ่มลูกค้าเราเป็นใคร กรณีของ “ปัญญ์ปุริ” อยู่ในเมืองโซน CBD ตลอดเส้นรถไฟฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยห้างพรีเมียมจึงนับเป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ทั้งหมด

.

แต่ห้างในกรุงเทพฯ ก็มีเพียงไม่กี่แห่ง บ้างก็ห่างกันด้วยระยะหลักร้อยเมตรเท่านั้น จะทำอย่างไรให้แต่ละสาขามีความแตกต่าง “วรวิทย์” บอกว่า นี่คือศาสตร์ที่ผู้ประกอบการต้องลุ่มลึก ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โรคระบาดใหญ่ในไทย หน้าร้านปัญญ์ปุริก็แทบจะไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย ทว่า หลังโควิด-19 เมื่ออีคอมเมิร์ซเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น คนเริ่มซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่า การมีหน้าร้านเพื่อขายของอย่างเดียวจึงไม่เวิร์กอีกแล้ว ร้านที่ไม่ได้สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า เอาชนะในเกมยาวไม่ได้

.

“เราเริ่มเห็นเทรนด์ในต่างประเทศว่า ร้านค้าดีพาร์ทเมนต์สโตร์ยอดขายตกลง แต่ในช่วงโควิด-19 มาบีบคั้นให้เราต้องเปลี่ยนอีก จบโควิด-19 แล้วลูกค้าจะกลับไปซื้อที่ร้านได้อย่างไร จะกลับอย่างไรถ้าออนไลน์มันง่ายขนาดนี้ เราก็เริ่มทรานสฟอร์มว่า รีเทลต้องให้ประสบการณ์ ไม่ได้เป็นแค่ชั้นวางขายของ แต่ละร้านต้องหน้าตาไม่เหมือนกัน คนมาดูต้อง Appreciated กับดีไซน์ร้าน ถ้าใครเคยมาจะเห็นว่า หน้าร้านมีเครื่องดมกลิ่นให้ทดลอง ลูกค้าก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมตรงนั้น นอกจากนี้ เรายังทำงานกับนักจัดดอกไม้เก่งๆ ทำ Exhibition จัดดอกไม้ทุกเดือน สิ่งเหล่านี้ทำให้แต่ละร้านมีประสบการณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนกัน”

.

:: ปิดยอด “พันล้านบาท” สำเร็จ ไม่หยุดลงทุนแม้เป็นช่วงปิดเมือง ::

การเติบโตของปัญญ์ปุริภายใต้ “บริษัท ปุริ จำกัด” เพิ่มขึ้นกว่า 92% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า “วรวิทย์” เปิดเผยว่า ปี 2567 “ปัญญ์ปุริ” ทำยอดขายทะลุหลักพันล้านได้สำเร็จ โกยรายได้ราว 1,100 ล้านบาท จากปี 2566 ที่มีรายได้ 579 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการทำงานที่ไม่เคยหยุดนิ่งแม้เป็นช่วงโรคระบาด

.

อย่างที่วรวิทย์บอกไปก่อนหน้านี้ว่า หลังมาตรการล็อกดาวน์ผ่อนคลาย ทีมปัญญ์ปุริก็ช่วยกันระดมสมอง-วางแผนยกเครื่องการขายหน้าร้าน ช่วงนั้นมีโฟกัสหลักๆ 2-3 อย่าง คือทำการบ้านกับการปรับหน้าร้าน หาหนทางรักษากระแสเงินสดให้ได้ยาวนานที่สุด และที่สำคัญคือไม่เคยหยุดลงทุนแม้เป็นช่วงที่ทุกคนจำศีลชั่วคราว

.

“หลายคนช่วงโควิด-19 เก็บตัวไม่ทำอะไร แต่เรายังลงทุนต่อเนื่องซึ่งเป็นการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ เราสร้างโปรดักต์ใหม่ทั้งหมดเลยอย่างลิปออยล์ก็เกิดช่วงนั้น เราสร้างร้านแบบใหม่ วิธีการทำการตลาด การเล่าเรื่อง ใช้เวลาช่วงโควิด-19 ที่ว่างกันอยู่นี่แหละปรับกระบวนทัพใหม่ แล้วมันก็ส่งผลเพราะเราอยู่ในใจผู้บริโภคได้ เราไม่ได้หายเลยทำให้โตยิ่งขึ้น พอนักท่องเที่ยวกลับมาก็ช่วยเสริมกันด้วย”

.

หัวใจสำคัญที่ทำให้ “ปัญญ์ปุริ” เติบโตมาจนถึงวินาทีนี้ไม่ได้มีแค่วัตถุดิบ แต่ทรัพยากรบุคคลคือส่วนประกอบล้ำค่าที่ช่วยให้ประสบการณ์หน้าร้านครบถ้วนอย่างที่ตั้งใจไว้ การเทรนนิ่งพนักงานของปัญญ์ปุริมีความเข้มงวดสูง กรูมมิ่งต้องดี แพชชันต้องแหลมคม แต่ที่ยากที่สุด คือ “Soft Skills” ของพนักงานหน้าร้านในการจัดการอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของลูกค้า ซึ่งผู้บริหารปัญญ์ปุริเชื่อว่า ทั้งหมดช่วยให้แบรนด์เอาชนะใจลูกค้าได้สำเร็จ

.

“ฮาร์ดแวร์จะดีอย่างเดียวไม่ได้ ซอฟต์แวร์ต้องดีด้วย” วรวิทย์กล่าว

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

นิรมน คนหน้าเย็น โฆษณาใหม่จาก แอร์ เอเชีย ใช้แอร์โฮสเตสจริง มาร้องเพลงโฆษณา

คะแนน ฟีฟ่า แร้งกิ้ง ของ ทีมชาติไทย จะอยู่ที่อันดับ 99 ของโลก

‘ปัญญ์ปุริ’ สานเป้าหมายแบรนด์โลก ลุยต่างประเทศ ทุ่ม 500 ล้าน เปิด 50 สาขา

‘ลุฟท์ฮันซ่า’ นำเครื่องบินใหญ่สุดของโลก แอร์บัส A380 คัมแบ็กให้บริการในไทย

“ศุภาลัย”ชูมิกซ์โปรดักส์ชิงดีมานด์แนวราบปักหมุดใจกลางเมืองภูเก็ต