ท่องเที่ยวฯ จ่อหารือคลัง เปิดจุดคืน VAT ทัวริสต์ในเมือง ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ ปลุก ‘ช้อปช่วยชาติ’ กลางปี


กว่า 16 ปีที่ “เซ็นทรัลพัฒนา” ร่วมจัดมหกรรม “มิดเยียร์เซล” (Midyear Sale) ระดับชาติ! เพื่อเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หนุนประเทศไทยช่วงชิงตำแหน่งผู้นำ “ชอปปิง เดสติเนชัน” (Shopping Destination) ในภูมิภาคเอเชีย
แข่งกับ “ฮ่องกง” และ “สิงคโปร์” ที่โด่งดังเรื่องการจัดแคมเปญลดทั้งเกาะ รวมถึงประเทศอื่นๆ อย่าง “ญี่ปุ่น” ที่มีปัจจัยเงินเยนอ่อนค่ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการจับจ่าย และล่าสุด “จีน” นอกจากจะมุ่งส่งเสริมคนจีนเที่ยวในประเทศแล้ว ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาชอปปิงด้วยนโยบายคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 13% ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
.
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนา” ผนึกกำลังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล หน่วยงานภาครัฐ และพันธมิตรธุรกิจชั้นนำทั่วประเทศทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท เปิดแคมเปญ “ซัมเมอร์ แกรนด์ เซล 2025” (Summer Grand Sale 2025) มหกรรมเซลกลางปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยส่วนลดสูงสุด 80% จากกว่า 28,000 แบรนด์ และ 12,000 ร้านค้า เริ่มแคมเปญตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. – 13 ก.ค. 2568 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ และดิเอสพละนาด รัชดาภิเษก
.
เป้าหมายของการจัดแคมเปญนี้หวังชวนคนไทย “ช้อปช่วยชาติ” พร้อมเดินหน้าส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ด้วยแม่เหล็กดึงดูด “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ทั้งกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short Haul) ตลาดระยะไกล (Long Haul) และนักช้อปคุณภาพ (Quality Shoppers) จากทั่วโลก เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช่วงกลางปี และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 2–3 ซึ่งตรงกับโลว์ซีซันของภาคการท่องเที่ยว
.
ประกอบกับเทรนด์ปัจจุบันของผู้บริโภคทั่วโลก อยู่ในยุคที่ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” ในการใช้จ่ายมากกว่าที่เคย! ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ “Loud Budgeting” หรือการอวดประหยัด ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเจน Z และคนรุ่นใหม่ ซึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย โชว์ความคุ้มค่า สอดรับกับการจัดแคมเปญ ซัมเมอร์ แกรนด์ เซล 2025 ของเซ็นทรัลพัฒนาที่ต้องการจุดกระแสการใช้จ่ายให้เกิดขึ้นจริง กระตุ้นบรรยากาศการชอปปิงและเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
.
“เซ็นทรัลพัฒนาเดินหน้าร่วมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นชอปปิงเดสติเนชันระดับโลก (Global Shopping Destination) ที่แข่งขันได้ทั้งในเอเชียและเวทีโลก ด้วยแคมเปญมิดเยียร์เซล ครบทุกหมวดสินค้า สนับสนุนผู้ประกอบการทุกระดับทั่วประเทศ พันธมิตรภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเท่าตัว รวมกว่า 28,000 แบรนด์ และ 12,000 ร้านค้า โดยกำหนดจัดแคมเปญนี้เป็นระยะเวลา 1 เดือนครึ่ง เพื่อให้เกิดประสิทธิผล เร่งการตัดสินใจซื้อ จากปกติจะจัดนาน 2-3 เดือน ตั้งเป้าเพิ่มทราฟฟิกทั่วประเทศอีก 25–30% ในช่วงไตรมาส 2-3 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัว เพื่อสร้างอิมแพกต์ (Impact) ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม”
.
ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพลักษณ์การเป็น “ชอปปิง เดสติเนชัน” ของประเทศไทยในปัจจุบันถือว่าขึ้นชื่อและสามารถแข่งขันกับฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ เพราะราคาสินค้าและการจัดโปรโมชันแทบไม่ต่างกัน แต่ในประเทศไทยนั้นมีจุดขายเรื่อง “ความหลากหลาย” ของสินค้า ทั้งแฟชั่น อาหาร งานคราฟต์ต่างๆ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาชอปปิงและมองหาโรงแรมราคาถูกลงในช่วงโลว์ซีซัน
.
“สินค้าและบริการในไทยตอนนี้เรียกได้ว่าคุ้มค่าเงิน (Value for Money) เข้ากับเทรนด์การจับจ่ายของโลก หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มียอดการจับจ่ายมากกว่าในสิงคโปร์แล้ว”
.
ทั้งนี้ มีข้อเสนอเกี่ยวกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นชอปปิง เดสติเนชัน อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ว่าควรอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถ “ขอคืน VAT” ได้ที่ร้านค้าโดยตรงเหมือนโมเดลของประเทศญี่ปุ่น เพราะปัจจุบันในไทยยังต้องยื่นขอคืน VAT ที่สนามบินอย่างเดียว
.
สำหรับตลาดนักช้อปคนไทย แม้จะมีปัจจัย “เงินบาทแข็งค่า” อาจช่วยกระตุ้นการจับจ่ายในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือ จีน ที่มียอดคนไทยไปเที่ยวมากขึ้น แต่มองว่ารูปแบบของสินค้านั้นแตกต่างจากในไทย โจทย์สำคัญคือการรณรงค์ให้คนไทย “ช้อปช่วยชาติ” เหมือนอย่างที่ประเทศญี่ปุ่นเคยทำสำเร็จมาแล้ว
.
“ความท้าทายของเราในตอนนี้มีปัจจัยแวดล้อมเยอะมาก ทั้งเรื่องเศรษฐกิจในประเทศและทั่วโลก นโยบายจัดเก็บภาษีของสหรัฐ สงครามการค้า รวมถึงความเชื่อมั่นของประเทศไทยทั้งในตลาดหุ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ จำนวนลดลงราว 1 ล้านคนเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จึงอยากขอนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน นักลงทุน รวมถึงเครื่องยนต์เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและการส่งออก อะไรที่เป็นไพรออริตี้ แก้ได้เร็ว ก็ทำไปก่อน อย่างภาคการท่องเที่ยวเป็นเซ็กเตอร์ที่สามารถแก้ได้เร็ว ก็ต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นกลับมา”
.
ด้าน จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากความกังวลเรื่องประเทศไทยอาจสูญเสียตำแหน่งผู้นำด้าน “ชอปปิง เดสติเนชัน” หลังจากหลายประเทศต่างหันมาอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการคืน VAT แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น ที่มีจุดขายเรื่องการยกเว้นเก็บ VAT จากร้านค้าโดยตรง และมีจุดบริการให้ยื่นขอคืนภาษี (Tax Refund) ตามศูนย์การค้าต่างๆ ขณะที่จีนได้ออกนโยบายอำนวยความสะดวกเรื่องการคืน VAT 13% ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจเปลี่ยนไปเที่ยวและชอปปิงในประเทศเหล่านี้แทนประเทศไทย ซึ่งถูกมองว่ามีขั้นตอนมากเกินไป เกิดความล่าช้าในการขอคืน VAT
.
“กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มองว่าจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจ หารือร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้น เอื้อกับการท่องเที่ยวและชอปปิง โดยจะขอหารือกับกระทรวงการคลังเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม นำร่องตั้งจุด Tax Refund ภายในศูนย์การค้าช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เลือกที่กรุงเทพฯ ก่อน เนื่องจากเคยตั้งจุด Tax Refund ไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่บางแห่ง แต่ต้องปิดไปช่วงโควิด-19 ระบาด”
.
ทั้งนี้ กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศูนย์การค้าจำนวนมาก และเที่ยวบินระหว่างประเทศเข้าออกจำนวนมาก หากนำเรื่องนี้กลับมาดำเนินการได้ จะช่วยส่งเสริมการชอปปิงของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
.
“ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องจากภาคเอกชนเกี่ยวกับการตั้งจุด Tax Refund เพิ่มเติม จึงต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และสร้างรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น”

ความคิดเห็น

บทความที่มีคนอ่านมากที่สุด

‘เนื้อแท้’ ยก ‘เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์-เซเว่นอีเลฟเว่น’ ประตูบานใหญ่ เสิร์ฟสินค้าเจาะตลาดแมส

2025 ไทยรัฐกรุ๊ป ยกระดับประสบการณ์ผู้ชมครั้งใหญ่ ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ตอกย้ำเบอร์หนึ่งสื่อไทย

EMILY’S หมี่ไก่ฉีก มีลุ้นแตะ ‘500 ล้าน’ ขายได้เดือนละ 1 ล้านกล่อง เตรียมบุกต่างประเทศด้วย

ไก่ทอดฮ็อทสตาร์ ผนึกเป๊ปซี่ รุก GEN Z

‘HAAB’ ขายขนมไข่เดือนละ ‘3 ล้านชิ้น’ เปิดร้านมา 1 ปี เตรียมบุก ‘มาเลเซีย’ เป็นประเทศแรก