‘บุณยสิทธิ์’ จี้รัฐงัด ‘ควิกวิน’ ฟื้นเศรษฐกิจ จีดีพีโตต่ำลากยาว ‘นโยบายทรัมป์’ ตัวชี้ขาด
“เสี่ยบุณยสิทธิ์” ผู้นำอาณาจักรแสนล้าน “เครือสหพัฒน์” นิยามเศรษฐกิจไทยเหมือนรถยนต์สามล้อ เติบโตในภาวะถดถอย จับตาตัวแปรใหญ่ “นโยบายทรัมป์” ชี้ชะตาสถานการณ์ลากยาว แนะรัฐงัด “ควิกวิน” ฟื้นเศรษฐกิจ เร่งสร้างความเชื่อมั่นลงทุน ปลุกตลาดหุ้น ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ
.
งานสหกรุ๊ปแฟร์ที่จัดประจำทุกปี “เสี่ยบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ ออกมาให้ทัศนะเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจ กำลังซื้อ รวมถึงมีข้อเสนอแนะให้ภาคธุรกิจ รวมถึงภาครัฐในการหามาตรการกระตุ้นอำนาจซื้อโดยรวม การสร้างเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนและฟื้นเศรษฐกิจไทย
.
:: เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอย ::
หากมองฉากทัศน์ปี 2568 “เสี่ยบุณยสิทธิ์” ให้นิยาม “เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอย” เปรียบเสมือนยุครถยนต์มีสามล้อ ที่หมายถึงการถอยลงมา ไม่ใช่เจริญก้าวหน้า พัฒนาเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรืออีวีสะท้อนภาพเศรษฐกิจดี
.
เศรษฐกิจในปี 2568 ทำให้ธุรกิจเผชิญความยากลำบากกว่าปีที่แล้ว และช่วงวิกฤติโควิด-19 ระบาด เพียงแต่สิ่งที่ต่างคือ บริบท หรือยุคไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ ถือเป็นโอกาสในการปรับตัว
.
“เศรษฐกิจยุคสามล้อ เครือสหพัฒน์เราก็อยู่ได้ และเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เราต้องรู้จักปรับตัวเพื่อการอยู่รอด”
.
เมื่อเศรษฐกิจคือ ตัวแปรสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน สอดคล้องกับกำลังซื้อผู้บริโภค และการค้าขาย “เศรษฐกิจที่โตต่ำ” จะเกิดขึ้นลากยาวแค่ไหน “เสี่ยบุณยสิทธิ์” ให้มุมมองว่า นโยบาย และภาษีทรัมป์ คือ ปัจจัยใหญ่ที่จะกระเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก
.
“จะมองอนาคตเศรษฐกิจ ต้องมองนโยบายของสหรัฐก่อน แต่คาดหวังว่าเศรษฐกิจที่โตต่ำจะเกิดขึ้นไม่นาน”
.
สงครามการค้าระหว่าง “สหรัฐ-จีน” เป็นอีกปัจจัยเขย่าโลก ไทยจะอยู่รอดในสมการนี้ ควรมีจุดยืน “เป็นกลาง” อย่าไปชิดซ้าย หรือชิดขวา
.
ประเทศไทยถูก “หั่นเป้าจีดีพี” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งการเติบโตเศรษฐกิจยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ มิตินี้ หากมองอาเซียน “พื้นฐานจีดีพี” เพื่อนบ้านค่อนข้างต่ำ และไทยเจริญเติบโตมานาน เมื่อเป็นตัวเลขคาดการณ์จึงอยู่ในระดับต่ำ
.
“เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตนำภูมิภาค เคยดีมาก่อน หากถามเศรษฐกิจไทยตอนนี้ยังมองว่าดี เพราะจีดีพีเรามาจากฐานที่สูง ส่วนเพื่อนบ้านมาจากฐานที่ต่ำ”
.
:: ปลุกเชื่อมั่นดึงลงทุนต่างชาติ ควิกวิน ศก. ::
เมื่อไทยตกอยู่ในห้วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากจะฟื้นการเติบโต “เสี่ยบุณยสิทธิ์” มองนโยบาย “ควิกวิน” ภายใน 3-6 เดือน รัฐต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติโดยเร็ว เพื่อนำเงินเข้ามาลงทุนในไทย กระตุ้นตลาดทุนให้ดีขึ้น
.
เครือสหพัฒน์มีการผนึกพันธมิตร “ทุนญี่ปุ่น” เพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เวลานี้ นักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนไทยต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจในญี่ปุ่นจะไม่ดีก็ตาม
.
“เมื่อเศรษฐกิจดี จะส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคให้มีการจับจ่ายใช้สอยด้วย อย่างมาตรการควิกวันที่ต้องมีการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน หลายประเทศอยากเข้ามาลงทุนในไทย แต่ไทยเราออกมาตรการช้า”
.
ส่วนมาตรการระยะกลางถึงยาว ต้องการให้เดินหน้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ ทั้งขยายขนาดโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) การพัฒนาโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้หรือแลนด์บริดจ์ รวมถึงทบทวนโครงการการขุดคอคอดกระ ซึ่งจะสนับสนุนโลจิสติกส์ของประเทศ ในการส่งออกสินค้าไปยังทวีปยุโรป โดยไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา และยังเอื้อต่อการเชื่อมตลาดไต้หวัน ญี่ปุ่น
.
มาตรการแจกเงินไม่สร้าง ศก.แค่หาเสียง
ขณะที่มาตรการแจกเงินต่างๆ มองว่าไม่ได้สร้างเศรษฐกิจ แต่เป็นนโยบาย “หาเสียง” มากกว่า
.
“มาตรการที่ควรออกมากระตุ้นเศรษฐกิจมีอีกมาก การพัฒนาโครงการต่างๆ เป็นหลักของประเทศเพื่อสร้างการเจริญเติบโตอย่างไร ส่วนการแจกเงิน มาตรการนี้ไม่มีอยู่ในตำราเศรษฐกิจเลย แต่อยู่ในตำราการหาเสียง”
.
ด้านแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจ เครือสหพัฒน์ การลงทุนจะไม่ฝืนธรรมชาติ เน้นจับจังหวะช้า-เร็วให้เหมาะสม
.
นอกจากนี้ การลงทุนของเครือสหพัฒน์ ยังเน้นร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้นจากทั่วโลก ส่วนธุรกิจที่ให้เน้นมากขึ้น ได้แก่ หมวดอาหาร อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจบริการ ซึ่งเติบโตเร็ว เช่น ขยายตลาดของแบรนด์คิวพี มาม่ามุ่งส่งออก รวมถึงธุรกิจสุขภาพหรือเฮลท์แคร์ ร่วมกับดุสิตธานีบริหารจัดการอสังหาฯ เป็นต้น ส่วนธุรกิจแฟชั่น เสื้อผ้า สิ่งทออยู่ในภาวะถดถอย
.
“เครือสหพัฒน์เราต่อสู้กับเศรษฐกิจขึ้นลงมาค่อนข้างมาก เศรษฐกิจดีเราก็โต เศรษฐกิจไม่ดีเราก็โตช้าเล็กน้อย ภายนอกอาจมองว่าเราเติบโตช้ากว่าคนอื่น แต่ทุกอย่างที่โต เราสร้างจากรากฐานเราเอง นอกจากนี้ ธุรกิจของเครือยังมุ่งสร้างความปลอดภัย มั่นคง บริหารจัดการความเสี่ยง ไม่เน้นพึ่งพาการกู้เงิน หรือกู้จากต่างประเทศ”
.
สำหรับภาพรวมของเครือสหพัฒน์ อาณาจักรสร้างรายได้ระดับ 3 แสนล้านบาท
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้