ค้าปลีกชง Quick Win ปูพรม 3 เดือนไฮซีซัน หวัง Multiplier Effect ฟื้นเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมค้าปลีกไทยมูลค่ากว่า “4 ล้านล้านบาท” เส้นเลือดใหญ่เชื่อมโยงการผลิต การบริการ และการ จ้างงานนับล้านชีวิต ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง มอง 3 เดือนข้างหน้าเป็นจังหวะสำคัญภายใต้การนำของรัฐบาลใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซึ่งกำลังจัดทำนโยบายและฟอร์มทีมเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนประเทศ โดยประกาศชัดว่าจะเร่งมาตรการลดค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจ
.
ณัฐ วงศ์พานิช ประธาน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เชื่อว่าการออกมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น 3 เดือนข้างหน้าซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันแห่งปี จะสร้างแรงส่งที่เป็นรูปธรรมได้
.
“เชื่อว่ารัฐบาลใหม่และทีมงานที่มีศักยภาพ มีความพร้อมกำหนดแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าอย่างมั่นคง สมาคมฯ เห็นว่ามาตรการที่จะเกิดผลจริงต้องครอบคลุม ตรงเป้า และเห็นผลชัดเจน ไม่เพียงช่วยผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุน SMEs เกษตรกร แรงงาน และธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างงาน เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ”
.
โดยสมาคมฯ นำเสนอนโยบาย “Quick Win” เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีและคาดว่าจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย
1.กระตุ้นการจับจ่าย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน (Spending Boost)
เพื่อสร้าง Multiplier Effect หรือผลกระทบเชิงเศรษฐกิจเชื่อมโยงหลายทอด สมาคมฯ ขอเสนอมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีทันที ผ่านมาตรการ
- โครงการ “คนละครึ่ง” เวอร์ชันอัปเกรด จะเป็น “ยาแรง” ที่ช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง และเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน โดยสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
“สมาคมฯ ขอเสนอให้ขยายผลครอบคลุม ทุกประเภทร้านค้า เพื่อเพิ่มทางเลือกและสร้างความสะดวกในการจับจ่ายของประชาชนได้ทุกที่ที่ต้องการ โดยไม่มีเงื่อนไขซับซ้อน พร้อมทั้งเสนอให้ปรับเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาท เป็น 300 บาท โดยกำหนดวงเงินเดือนละ 1,500 บาทเป็นเวลา 2 เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน) เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและพฤติกรรมการบริโภค ในปัจจุบัน”
- โครงการ “Easy e-Receipt” เฟส 2 ควรเดินหน้าโครงการ “Easy e-Receipt” เฟส 2 ปลายปีนี้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช่วงไฮซีซั่น สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ โดยจำกัดวงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อคน และมีระยะเวลาโครงการ 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม) โดยปรับเงื่อนไขให้เข้าร่วมสะดวกขึ้น ครอบคลุมหมวดสินค้าทั่วไป สินค้า OTOP และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ ร้านค้า และส่งเสริมให้ ร้านค้า เข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัลซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
.
2.ส่งเสริมไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปสำหรับนักท่องเที่ยว (Shopping Paradise)
เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวและสร้างความสามารถในการแข่งขันกับภูมิภาค สมาคมฯ เสนอมาตรการดังนี้
- ลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์สูงถึง 20–30% สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง มีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์เท่ากับ 0% สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐลดอัตราภาษีนำเข้าลง เหลือราว 10-15% เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในการช้อปปิ้ง นอกเหนือจากการท่องเที่ยวชมธรรมชาติ วัฒนธรรม และสถานที่สำคัญของไทย
- มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบทันที (Instant VAT Refund) ทดลอง คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ณ ร้านค้า สำหรับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาท โดยเริ่มจากร้านค้าสมาชิกในย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายทันที เพิ่มโอกาสในการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
- ขยายระยะเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซีย เสนอให้ขยายระยะเวลาวีซ่าจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ภาคท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงและนิยมพำนักระยะยาว
.
3.กระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน
- การจ้างงานรายชั่วโมง ช่วยลดปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถบริหารต้นทุนแรงงานได้คล่องตัวมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในช่วงเวลาที่มีลูกค้าหนาแน่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดแรงงานไทย
.
“มาตรการเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยภาคค้าปลีก แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อผู้ผลิต SMEs เกษตรกร แรงงาน และผู้บริโภคทุกกลุ่ม ก่อให้เกิดแรงส่งเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง สมาคมฯ พร้อมทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงภาคค้าปลีกกับรัฐบาล เพื่อผลักดันให้มาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้