‘ยุทธศักดิ์’ อดีตผู้ว่าการ ททท. ชี้จุดเปลี่ยน ‘ท่องเที่ยวไทย’ ปี 68-69 เร่งพลิกยุทธศาสตร์ รับสารพัดแรงกระแทก!
อุตสาหกรรม “การท่องเที่ยว” ของประเทศไทยในปี 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยยังคงคึกคัก จำนวนสะสมอยู่ที่ 30 ล้านคน แม้ต้องเผชิญกับ “แรงกระแทก” จากภายนอก! โดยมีการเปลี่ยนแปลงของตลาดแหล่งผู้มาเยือน พฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่พัฒนา และสภาพเศรษฐกิจใหม่ ที่สร้างแนวโน้มและทิศทางใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้
.
ยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วิเคราะห์ว่า การท่องเที่ยวไทยในปี 2568-2569 กำลังเผชิญกับ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ทั้งการเปลี่ยนแปลงของตลาด ผลกระทบต่อเนื่องจากความขัดแย้งชายแดนและภัยธรรมชาติ รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดหลักอย่าง “นักท่องเที่ยวจีน” ที่ยังไม่เต็มที่ แต่การเติบโตของตลาดทางเลือก โดยเฉพาะมาเลเซียและอินเดีย รวมถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของตลาดระยะไกลในการสร้างรายได้ ถือเป็นโอกาสใหม่
.
“การปรับตัวให้ทันสถานการณ์ ต้องอาศัยกลยุทธ์การตลาดที่เจาะจง การกระจายความเสี่ยงด้านตลาด และการเสริมสร้างความปลอดภัย ความยืดหยุ่น แม้ยังมีความไม่แน่นอน แต่หากประเทศไทยตอบสนองอย่างมียุทธศาสตร์และปรับตัวได้ทันเวลา จะยังคงรักษาตำแหน่งแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก สร้างคุณค่าเศรษฐกิจและสังคมแก่ประเทศได้ต่อไป”
.
หนึ่งในแนวโน้มเด่นปี 2568 คือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแหล่งผู้มาเยือน นักท่องเที่ยวมาเลเซียอาจแซงจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี (ไม่นับช่วงวิกฤติโควิด-19) ข้อมูลจาก ททท. ประเมินว่ามาเลเซียจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากกว่า 4.4 ล้านคนในปี 2568 ขณะที่จีนมีจำนวนน้อยกว่า ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงนี้มีหลายด้าน โดยการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวอย่างมาก จากที่เคยคิดเป็นสัดส่วน 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 2562 ซึ่งมีจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 11.1 ล้านคน ปัจจุบันเหลือเพียง 14% และคาดว่าจะมีผู้มาเยือนตํ่ากว่า 5 ล้านคนในปี 2568 โดย ททท. คาดการณ์ว่าจีนจะเพิ่มขึ้นเพียง 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวมาเลเซียยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
.
หากวิเคราะห์ลึกด้าน “การใช้จ่าย” จะพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวจีนแม้จำนวนลดลง แต่ยังคงใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ย 55,000 บาท/คน/ทริป เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 22,000 บาท/คน/ทริป ระยะเวลาพักก็แตกต่างกัน โดยนักท่องเที่ยวมาเลเซียพักเฉลี่ย 4.17 วัน ใช้จ่าย 21,450 บาท/คน/ทริป ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนพักเฉลี่ย 7.35 วัน ใช้จ่าย 42,428 บาท/คน/ทริป และเดินทางกระจายทั่วประเทศมากกว่า ขณะที่นักท่องเที่ยวมาเลเซียมักกระจุกตัวที่ภาคใต้ เช่น หาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากนํ้าท่วมล่าสุด
.
การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบตลาดนี้สร้างความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายรายได้ เพราะการสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน 1 คน ต้องใช้จำนวนนักท่องเที่ยวมาเลเซียเพิ่มขึ้น 2 เท่าเพื่อชดเชยรายได้เดิม อีกทั้งการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่จำกัด ยังกระทบต่อการกระจายรายได้ทั่วประเทศเมื่อเทียบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน
.
“ภาคใต้ต้องเผชิญกับอุปสรรคเพิ่มเติมจากเหตุน้ำท่วมรุนแรงในอำเภอหาดใหญ่ ทำให้นักท่องเที่ยวไทยและมาเลเซียจำนวนมากยกเลิกการจองและการเดินทาง ส่งผลกระทบหนักต่อธุรกิจโรงแรม คาดว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคใต้จะสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท และอาจส่งผลต่อเนื่องไปจนสิ้นปี”
.
สำหรับประเด็นความขัดแย้งบริเวณ “ชายแดนไทย-กัมพูชา” ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการยกเลิกการจองมากกว่า 8,000 รายการในช่วงแรกของเหตุการณ์ การปิดด่านและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงมีความกังวลด้านความปลอดภัย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศ ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดว่ามีความเสียหายหลายพันล้านบาทต่อเดือน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจรถเช่า บริษัททัวร์ โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สระแก้ว และอุบลราชธานี
.
ด้าน ททท. คาดการณ์ “แนวโน้ม” จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 33 ล้านคน ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ 37 ล้านคน สาเหตุหลักจากตลาดระยะใกล้โดยเฉพาะจีนลดลง คาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 1.51 ล้านล้านบาท ลดลง 5% จากประมาณการเดิม ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศคาดว่าจะเติบโต มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทาง 204.57 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2% และรายได้ประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2567
.
ส่วนปี 2569 ททท. ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นที่ 34.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2568 และมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.63 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% โดยตลาดระยะใกล้ยังคงเป็นแหล่งหลัก คิดเป็นสัดส่วน 67% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และ 55% ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ตลาดระยะไกลจะมีจำนวนคนคิดเป็นสัดส่วน 33% และสร้างรายได้ 45%
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นต่อบทความนี้